วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560

EA

EA นิวไฮรอบ 6 สัปดาห์ รับข่าวสัญญาเช่าถูกต้อง




ราคาหุ้น บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ ทำนิวไฮรอบ 6 สัปดาห์ หลังมีสัญญาณดีจาก ส.ป.ก.ระบุ สัญญาเช่าถูกต้อง

ราคาหุ้น บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA วันนี้พุ่งแรง ขึ้นไปสูงสุดที่ 27 บาท บวก 1.25 บาท หรือ เพิ่มขึ้น 4.85% ทำสถิติสูงสุด นิวไฮในรอบ 6 สัปดาห์ ขณะที่ราคาล่าสุดคลิ๊กที่นี่ EA

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.พลังงานบริสุทธิ์  หลังทางสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือ ส.ป.ก.เตรียมสรุปผลสอบสัญญาการเช่าที่ดินของโครงการกังหันลมให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ภายในสิ้นเดือน มีนาคม นี้ แต่ EA ได้รับสัญญาณที่ดีจาก ส.ป.ก. ที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลโครงการพบว่า สัญญาเช่าของบริษัทถูกต้อง ทำให้เกษตรกรในพื้นที่ได้ประโยชน์ พร้อมให้ราคาพื้นฐาน 33 บาท 

ทั้งนี้ EA และบริษัทย่อย มีธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสจากไฟฟ้าพลังงานทดแทน ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 4 โครงการ ที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว และโรงไฟฟ้าพลังงานลม 8 โครงการ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน

TPIPP

TPIPP ตั้งช่วงราคา IPO หุ้นละ 6-7 บาท

"ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์" ในชื่อย่อ TPIPP  บริษัทย่อยของ TPIPL   ตั้งช่วงราคาขาย IPO หุ้นละ 6-7 บาท ก่อนสรุปราคาสุดท้าย 24 มี.ค.   เปิดให้ผู้ถือหุ้นเดิมจองและชำระค่าหุ้นก่อนลำดับแรก พร้อมเปิดขายประชาชนทั่วไป 24 มี.ค. และ 27-29 มี.ค.นี้ 

บมจ.ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) แจ้งว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของบริษัทย่อย บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) ในช่วงราคาเบื้องต้นที่ 6-7 บาท/หุ้น  โดยจะสรุปราคาสุดท้ายในวันที่ 24 มี.ค.60 และเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อในวันที่ 24 มี.ค. และ 27-29 มี.ค.นี้ 

ส่วนผู้ถือหุ้นเดิมของ TPIPL มีสิทธิจองซื้อได้จองและชำระค่าหุ้นในวันที่ 22 มี.ค.-24 มี.ค. 2560 โดยจะต้องชำระในราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายที่ 7 บาท/หุ้น ซึ่งบริษัทกำหนดสิทธิของผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 162:1 จากที่ได้ขึ้นเครื่องวันที่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ (XB)  ไปแล้วเมื่อ 12 ต.ค. 2559

หลังจากสรุปราคาเสนอขายสุดท้ายของหุ้น TPIPP หากราค่ำกว่่าที่ชำระไว้จะคืนเงินค่าจองซื้อหุ้นส่วนต่างให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด 

TPIPP จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน IPO จำนวนไม่เกิน 2,500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยจะระดมทุนขยายโรงไฟฟ้าอีก 3 โรงเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็น 440 MW จากปัจจุบัน 150 MW
          
สำหรับผู้จัดการการจัดจําหน่ายและรับประกันการจําหน่ายหุ้น TPIPP ประกอบด้วยบริษัทหลักทรัพย์ ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จํากัด บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จํากัด และบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน)

ราคาหุ้น TPIPL ล่าสุด 10.52 น. ยืนทรงตัวที่ 2.68 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

CENTEL

CENTEL คงเป้ารายได้ปี 60 เติบโต 4-5%

CENTEL ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมในประเทศและต่างประเทศ ตั้งเป้ารายได้ปี 2560 เติบโต 4-5 % จากปี 2559 ที่ทำได้กว่า 1.99 หมื่นล้านบาท  ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวปีนี้

นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการเงินและบริหารบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL  เปิดเผยว่า การเติบโตปีนี้ รายได้ยังมาจากธุรกิจ 2 ส่วนหลัก คือ ธุรกิจโรงแรมในสัดส่วน 50% และอีก 50% จะมาธุรกิจร้านอาหาร 

โดยธุรกิจโรงแรม แม้ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ จะได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง เนื่องจากปีนี้เทศกาลตรุษจีน อยู่ในช่วงเดือนมกราคม ทำให้ยอดเดือนกุมภาพันธ์ติดลบ 3%  แต่บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ ต่อจำนวนห้องพัก หรือ RevPar ที่ 3- 4% และคงอัตราการเข้าพัก ที่ระดับ 81% ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับปีก่อน 

ทั้งนี้ จากความไม่แน่นอนของจำนวนนักท่องเที่ยว ทำให้บริษัทฯ ต้องปรับขึ้นค่าห้องขึ้นเฉลี่ย 4-5% และเชื่อว่าสถานการณ์นักท่องเที่ยวน่ากลับมาเป็นปกติอีกครั้งในช่วงกลางปี ไปจนถึงครึ่งปีหลัง

ส่วนแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงมีแผนการใช้เงินราว 3พันล้านบาท แบ่งเป็นใช้ในธุรกิจโรงแรม ที่ 500-600 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบลงทุนปกติ ในการเข้าปรับปรุง โรงแรมเซ็นทารา เซ็นทรัล เวิล์ด 170 ล้านบาท  และโครงการก่อสร้างโรงแรม แบรนด์  Cosy สมุย และ Cosy พัทยา ซึ่งทั้ง 2 แห่ง ใช้งบลงทุน 560 ล้านบาท

ส่วนธุรกิจร้านอาหาร คาดว่าจะสามารถเติบโตในระดับ 5% โดยปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างเจรจาซื้อแบรนด์อาหารในประเทศเพิ่มอีก 1 แบรนด์  โดยตั้งงบลงทุนไว้ที่ 500-1,000 ล้านบาท คาดว่าปีนี้จะได้เห็นความชัดเจน
 

"การเติบโตของบริษัทเป็นไปตรมภาวะการท่องเที่ยว ซึ่งเดือนแรกเราโต 6% แต่เดกือยกุมภาพันธ์ จำนวนนักท่องเที่ยวเราหายไป-3% โดยที่หายไปส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเกิดจากปีนี้เทศกาลตรุษจีนเราอยู่ในช่วงเดือนมกราคม ทำให้เดือนถัดมานักท่องเที่ยวหายไป สาเหตุเกิดจากการย้ายสถานที่ท่องเที่ยวไปแถวเวียดนามกันเยอะขึ้น ทำให้ปีนี้เราต้องปรับราคาห้องพักขึ้นอีกราว 4-5% เพื่อให้รายได้และกำไบริษัทเติบโตได้ ตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้"นายรณชิตกล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560

CHOW

CHOW ดันบริษัทย่อย เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ ขาย IPO

บอร์ด CHOW อนุมัติให้บริษัทย่อย "เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่" ในชื่อย่อ CE  เสนอขาย IPO จำนวน 490 ล้านหุ้น  จัดสรรประชาชนทั่วไป 367.5 ล้านหุ้น ผู้ถือหุ้นเดิมของ CHOW ไม่เกิน  122.5 ล้านหุ้น  

บมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ (CHOW) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทวานนี้ (15 มี.ค.) มีมติเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการเพิ่มทุนและการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนของบมจ.เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ (CE) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย โดยจะเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 490 ล้านหุ้น โดยเสนอขายประชาชนทั่วไปครั้งแรก 367.5 ล้านหุ้น และเสนอขายผู้ถือหุ้นเดืมของ CHOW ตามสัดส่วนถือหุ้น  จำนวนไม่เกิน 122.5 ล้านหุ้น 

สำหรับการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจะจัดสรรให้กับประชาชนทั่วไป 367.5 ล้านหุ้น และจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นของ CHOW ตามสัดส่วนการถือหุ้น จำนวน 122.5 ล้านหุ้น 
          
บอร์ด CHOW มีมติอนุมัติให้ CE เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 245 ล้านบาท แบ่งเป็น 490 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 570 ล้านบาท เป็น 815 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ  1.63 พันล้านหุ้น 

จากเดิมที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2559 ของบริษัท อนุมัติให้เพิ่มทุนจำนวน 190 ล้านบาท แบ่งเป็น 380 ล้านหุ้น  เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 760 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1.52 พันล้านหุ้น
          
นอกจากนั้นมีมติอนุมัติให้ CE จัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 490 ล้านหุ้น เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก 367.5 ล้านหุ้น จากมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นเดิม อนุมัติให้จัดสรร 285 ล้านหุ้น ขณะที่จะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 122.5 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้น CHOW ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Pre-emptive Right) จากมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นเดิม อนุมัติให้จัดสรรไม่เกิน 95 ล้านหุ้น 
          
ส่วนราคาเสนอขายหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ CHOW จะเป็นราคาเดียวกับการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรกของ CE เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทได้เข้าลงทุนใน CE และช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดกับผู้ถือหุ้นของบริษัทจากการที่สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทใน CE ลดลงจาก 87.36% เหลือ 61.10%

นอกจากนี้บอร์ดยังอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท CHOW แบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวนไม่เกิน 240 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1บาท เสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นไม่เกิน 160 ล้านหุ้น และบุคคลในวงจำกัด ไม่เกิน 80 ล้านหุ้น 

APX

APX หลุดเพิกถอน กลับเทรด SET วันที่ 27 มี.ค.นี้

บมจ.เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ ในชื่อย่อ APX พ้นเหตุเพิกถอน หลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการกลับมาทำธุรกิจได้ตามปกติ เข้าเทรด SET วันที่ 27 มี.ค.นี้ ในหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในราคาซื้อขายสุดท้าย 2.80 บาท/หุ้น

ตลาดหลักทรัพย์ ประกาศให้บมจ.เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์  (APX) พ้นเหตุเพิกถอน และปลดเครื่องหมาย SPหลังจากบริษัทได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของการพ้นเหตุเพิกถอนหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แล้ว

APX จะเริ่มทำการซื้อขายภายหลังพ้นเหตุเพิกถอนในวันที่  27 มี.ค. 2560 ในตลาด SET กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และในหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ปัจจุบัน APX ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายเป็นอาคารชุดโรงแรม อาคารชุดพักอาศัย และที่ดินจัดสรรพร้อมบ้านพักตากอากาศ รวมถึงให้บริการจัดการให้เช่าห้องชุดหรือบ้านพักตากอากาศที่ลูกค้าซื้อบางส่วนนำออกให้เช่าในระบบโรงแรม
โดยบริษัทจะเก็บค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการ และมีผลตอบแทนให้กับผู้ซื้อตามที่ระบุในสัญญา
 
บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในกรณีพ้นเหตุเพิกถอน 

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2542 เป็นต้นมา หลักทรัพย์ของ APX ถูกห้ามซื้อขายจนกว่าบริษัทจะสามารถดำเนินการแก้ไขฐานะการเงินและผลการดำเนินงานได้ ดังนั้นราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2542 ที่ราคา 2.80 บาทต่อหุ้น อาจไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหลักทรัพย์ในปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงขอให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลบริษัทได้จากสรุปข้อสนเทศของ APXที่เผยแพร่ผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ

อนึ่ง เพื่อให้หลักทรัพย์ดังกล่าวสามารถซื้อขายได้ตามสภาพความเป็นจริงตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงอาศัยอำนาจตามความในข้อ 29(1) และ (3) ของข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การซื้อขายการชำระราคา และการส่งมอบหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2555 กำหนดให้ราคาซื้อขายหลักทรัพย์ของ APXในวันที่ 27 มีนาคม 2560 ไม่มีราคาสูงสุดและต่ำสุด

APX แต่เดิมคือบริษัท ซันเทคกรุ๊ป จํากัด (มหาชน) ดําเนินธุรกิจเกษตรอตสาหกรรมแบบครบวงจรในการปลูกและผลิตแปรรูปมะเขือเทศและข้าวโพดเพื่อจําหน่ายในประเทศและส่งออกต่างประเทศ ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลกทร ั ัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2533 

ต่อมาบมจ.ซันเทคกรุ๊ป เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ โดยศาลล้มละลายกลางมีคําสั่งให้ฟื้นฟูกิจการเมื่อ พ.ศ. 2543 และเมื่อดําเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการเป็นผลสําเร็จ ศาลล้มละลายกลางจึงมีคําสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 30 เมษายน2550 ทําให้บริษัท สามารถดําเนินธุรกิจการค้าได้ตามปกติ

หลังจากนั้นในเดือนสิงหาคม 2550 กลมผู้ลงทุนใหม่ นําโดยนายพงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ ได้เข้าลงทนในหุ้นเพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 2,145 ล้านบาท เป็น 13,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจํากดั เพื่อนําเงินทุนมาใช้รองรับการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเป็นธุรกิจพัฒนาอสั งหาริมทรัพย์ เป็นผลให้กล่มคุณพงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ ถือหุ้น 83.5% เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “บริษัท เอเพ็กซ์ดีเวลลอปเม้นท์จํากดั (มหาชน)” เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2550 

หลังจากนั้นมีการปรับโครงสร้างทุนโดยการลดทุนจดทะเบียนเพื่อลดขาดทุนสะสมทำให้มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 1.00 บาทต่อห้นุ ในการเปลี่ยนธุรกิจมาเป็นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บริษัท โดยเริ่มจากโครงการ MÖvenpick White Sand Beach Pattaya เป็นโครงการแรกตั้งแต่ปี 2551

ปัจจุบันมีโครงการที่พัฒนาและกำลังจะพัฒนา  3 โครงการ ได้แก่ โครงการ MÖvenpick White Sand Beach Pattaya, โครงการ Sheraton Grand Bay Resort & Grand Bay Residences ที่ภูเก็ต และโครงการซื้อและปรับปรุงโรงแรมเก่าซิกม่า รีสอร์ท พัทยาใหม่ เป็นโรงแรมใหมชื่อโรงแรม Four Points by Sheraton, Pattay

PLAT

PLAT มั่นใจกำไรปีนี้นิวไฮต่อเนื่อง

บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PLAT  เผยว่า มั่นใจผลประกอบการปีนี้ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิ 704 ล้านบาท และรายได้ 1.86 พันล้านบาท 

บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากการให้บริการโครงการตลาด “นีออน ดาวน์ทาวน์ ไนท์ มาร์เก็ต” ได้เต็มปี และได้มีการเพิ่มจำนวนห้องพักของโรงแรมโนโวเทล แพลทินัมเป็น 288 ห้อง จากปัจจุบันอยู่ที่ 283 ห้อง ซึ่งคาดว่าจะมีอัตราการเข้าพัก (OCC) สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาที่ 88% 

อีกทั้งจะมีการปรับอัตราค่าเช่าพื้นที่ที่ครบกำหนดสัญญาเช่าในศูนย์การค้าเดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ อีกราว 3 - 5% จากสิ้นปีก่อนที่มีอัตราค่าเช่าเฉลี่ยตารางเมตรละ 2,900 บาท/เดือน 

ขณะที่ในส่วนของจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการในศูนย์การค้าเดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (เดือนม.ค.-ก.พ.) เพิ่มขึ้น 8 - 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เฉลี่ยวันละ 6 – 8 หมื่นคน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อภายในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวตามภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น 


ล่าสุด PLAT อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรประเทศในกลุ่ม AEC เพื่อร่วมลงทุนในโครงการศูนย์การค้า ขนาดพื้นที่ 3 – 4 หมื่นตารางเมตร โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนของการร่วมลงทุนภายในปีนี้ ซึ่งเบื้องต้นบริษัทได้ตั้งงบลงทุนในช่วง 5 ปี (ปี 2559 - 63) ไว้ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนสำหรับปีนี้ราว 2.5 - 3 พันล้านบาท 

โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการลงทุนก่อสร้างโครงการ เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก ศูนย์ค้าปลีกขนาดใหญ่ พื้นที่ 170,000 ตารางเมตร มูลค่าลงทุน 5.8 พันล้านบาท ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 4 ปี 2561 และส่วนที่เหลือจะใช้ในการก่อสร้างโรงแรม Holiday Inn Express และ Holiday Inn Resort ที่เกาะสมุย ซึ่งมีกำหนดเริ่มก่อสร้างภายในปลายปีนี้ โดยขณะนี้บริษัทมีกระแสเงินสดอยู่ราว 5.8 พันล้านบาท เบื้องต้นจึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกหุ้นกู้เพิ่มเติมแต่อย่างใด

TSR

TSR ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 2 พันลบ. ขยายสาขาใหม่-รุก CLMV 

"เธียรสุรัตน์" ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 2 พันล้านบาท หลังขยายช่องทางจำหน่ายเครื่องกรองน้ำและเครื่องใช้ไฟฟ้า พร้อมคาดอัตรากำไรสุทธิปีนี้เข้าสู่ภาวะปกติ หลังคุมคุณภาพสินเชื่อ เตรียมขยายสาขาปีนี้ 5 แห่ง

นายวิรัช วงศ์นิรันดร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เธียรสุรัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSR ตั้งเป้ารายได้ปีนี้อยู่ที่ 2 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่ทำได้ 1,864 ล้านบาท โดยมาจากการเติบโตของยอดขายเครื่องกรองน้ำ และเครื่องใช้ไฟฟ้า หลังเพิ่มช่องทางในการจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าออนไลน์ ธุรกิจให้เช่าตู้กดน้ำ และการเพิ่มสาขาจัดจำหน่ายในปีนี้ 

แต่ประเมินว่ากำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร ซึ่งจะทำให้ช่องทางเงินผ่อนได้รับความนิยมมากขึ้น โดยปีนี้จะมีสัดส่วนรายได้จากเครื่องใช้ไฟฟ้า 15% สารกรองน้ำ 11% และเครื่องกรองน้ำ 74%

สำหรับอัตรากำไรสุทธิในปีนี้จะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ โดยที่ผ่านมาเฉลี่ยใกล้เคียง 8% จากปีก่อนที่ทำได้เพียง 4.32% เนื่องจากมีภาระตั้งสำรองหนี้เสียในปี 2559 อยู่ที่ 235 ล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทฯ จะหันมาลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) โดยการลดระยะเวลาในการผ่อนชำระลง จากเดิมที่มีระยะเวลาผ่อนชำระ 24 เดือน เป็น 13 เดือน ซึ่งจะทำให้คุณภาพของลูกหนี้ดีขึ้น ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากปัจจุบันที่มี NPL อยู่ที่ 4.3%

บริษัทยังมีแผนขยายสาขาเพิ่มเติมอีก 5 แห่ง จากเดิมมีทั้งหมด 20 สาขา โดยจะใช้เงินลงทุนสาขาละไม่เกิน 1 ล้านบาท เนื่องจากเป็นการเช่าอาคารเพื่อเปิดสาขา โดยสาขาแรกจะเปิดในจังหวัดเพชรบูรณ์เป็นแห่งแรกในปีนี้ และจะใช้งบลงทุนพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขาย 20-30 ล้านบาท

ส่วนธุรกิจให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลและรับจำนำทะเบียนคาดว่าจะสามารถเปิดให้ดำเนินการได้ภายในเม.ย.ปีนี้ ซึ่งประเมินว่าเป็นธุรกิจที่จะเติบโตได้ดีจากฐานลูกค้าเครื่องกรองน้ำที่มีอยู่ 5 แสนราย ตั้งเป้ายอดปล่อยกู้ในปีนี้ราว 30 - 40 ล้านบาท กำหนดยอดปล่อยกู้สูงสุดรายละ 2 หมื่นบาท

ในเรื่องความคืบหน้าธุรกิจในต่างประเทศ ล่าสุดบริษัทฯ ได้เข้าไปเปิดสาขาแรกในประเทศลาว ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากเนื่องจากมีคู่แข่งน้อย และผู้บริโภคนิยมซื้อสินค้าด้วยเงินสด นอกจากนี้ ยังมีโอกาสเติบโตของตลาดอีกมาก เนื่องจากราคาน้ำบรรจุขวดในประเทศลาว มีราคาค่อนข้างสูง 

พร้อมกันนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาการเข้าลงทุนในประเทศอื่นๆใน CLMV ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจน 1 ประเทศภายในปีนี้

CK

CK เซ็นรับงานกรมทางหลวง 1.98 พันลบ.

บมจ.ช.การช่าง (CK) แจ้งว่า บริษัทได้ลงนามในสัญญาจ้างทำการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา  ช่วงกม.0+000.000 - กม.4+525.000 และ กม.5+100.000 - กม.9+008.350 ระยะทางยาวประมาณ 8.43335 กม. กับ
กรมทางหลวง ในมูลค่าสัญญาทั้งสิ้น  1,982 ล้านบาท คิดเป็นระยะเวลาแล้วเสร็จประมาณ 1,080 วัน

SVI

SVI เล็งขยายลงทุนในสหรัฐเน้นสินค้ามาร์จิ้นสูง

SVI  อยู่ระหว่างศึกษาขยายตลาดไปยังสหรัฐอเมริกา พร้อมวางเงินลงทุนปีนี้ราว 800 ล้านบาท โดยเน้นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง 

นายพงษ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน)  หรือ SVI เปิดเผยถึงแผนลงทุนเข้าซื้อกิจการที่เกี่ยวข้องในประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าจะอยู่ในกลุ่มสินค้า ไฮ เอนด์ อิเล็กทรอนิส์ ซึ่งคาดว่าจะได้ความชัดเจนภายในปี2561 

ขณะที่ผลงานในปีนี้ ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20-25% จากปีก่อนที่ทำได้ 1.24หมื่นล้านบาท จากการออกสินค้าใหม่ที่จะสามารถเพิ่มยอดขายในปีนี้ เช่น กลุ่มพลังงานสะอาด กลุ่มยานยนต์ และ อุปกรณ์ทางการแพทย์ จากปัจจุบันบริษัท มีสินค้าทั้งสิ้น 47 รายการ ซึ่งสินค้าใหม่นี้ จะทดแทนสินค้าเดิมที่มีอัตรากำไรที่ต่ำกว่า

"เราอยู่ระหว่างการพิจารณาเข้าไปซื้อกิจการในสหรัฐ อีก2-3 บริษัท ในกลุ่มสินค้าไฮเอนอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีมาร์จิ้นสูง เราคาดว่าปลายปีนี้น่าจะได้ความชัดเจน โดยเงินลงทุนเราใช้ไม่เยอะ เราไม่ต้องการเข้าซื้อในราคาแพงไม่เกิน 800ล้านบาท รวมๆแล้วปี2561 น่าจะดีลจบ ขอให้เราทำงานของปีก่อนให้เสร็จหลังจากที่ผ่านมาเราได้ไปลงทุนในสแกนดิเนเวีย ออสเตรีย มาแล้ว ส่วนผลงานทั้งยอดขายและรายได้ปีนี้เราจะมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจน โดยเป้ารายได้เราตั้งไว้ที่ 1.5หมื่นล้านบาท"นายพงษ์ศักดิ์กล่าว

วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560

GL

GL ดิ่งไม่หยุด ความโปร่งใสทางธุรกิจยังเป็นปมคาใจนักลงทุน




หุ้น GL กลับมาดำดิ่งลงต่อ (พุธ 15 มี.ค.) สะท้อนว่าคำชี้แจงจากฝั่งบริษัทฯ ในสัปดาห์นี้ ไม่สามารถคลายปมกังขาในตลาดได้ จึงยังไม่อาจเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา

แหล่งข่าวนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บอกกับ Money Channel ว่า จากการรับฟังคำชี้แจงของทางผู้บริหาร GL ยังคงกังขาในเรื่องความโปร่งใส เพราะแม้จะบอกว่าปัญหาดังกล่าวไม่ได้กระทบกับผลประกอบการของบริษัทฯ แต่สิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้เลยคือผู้สอบบัญชีได้ทำหมายเหตุไว้ในงบการเงินปี 2559 ไว้ถึง 3 หน้า ถือเป็นสิ่งที่ผิดปกติจากงบการเงินทั่วไปที่อาจจะมีเพียงเงื่อนไขบางประการเท่านั้น ขณะที่มีข้อสงสัยในเรื่องการเข้าซื้อกิจการในศรีลังกา คือ บริษัท Commercial Credit & Finance (CCF) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศศรีลังกา โดยปัจจุบันบริษัทฯ ถือหุ้น 29.99% ตลาดกังวลว่า GL ซื้อในราคาที่แพงเกินจริงหรือไม่? และราคาหุ้น CCF ที่ปรับตัวลดลงจะสะท้อนผลประกอบการไม่ดีหรือไม่?

อีกคำถามเกิดขึ้นด้วยว่ากลุ่มลูกหนี้ไซปรัส จะมีความสามารถเรียกหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่มเติมได้จริงหรือไม่? เพราะที่ผ่านมาถูกผลกระทบราคาหุ้น GL ที่นำมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันมีมูลค่าลดลงมาก ขณะเดียวกัน ลูกหนี้ที่กลุ่มไซปรัสนำไปปล่อยสินเชื่อในกัมพูชาประกอบธุรกิจอย่างไร เพราะไม่สามารถตรวจสอบได้ โดยผู้บริหารอ้างว่าเป็นบริษัทเอสเอ็มอีที่อยู่นอกระบบการจัดเก็บภาษีของทางการกัมพูชา จึงไม่สามารถมีข้อมูลชี้แจงเป็นทางการได้ อย่างไรก็ตาม การที่ GL ยังคงนับรวมหุ้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันก็ยังคงสร้างความเสี่ยงต่อเนื่อง และยิ่งทาง GL ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองเพราะยังมั่นใจในลูกหนี้กลุ่มสิงคโปร์และไซปรัส เพื่อไม่ให้กระทบต่อศักยภาพทำกำไร ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการทำธุรกิจมากขึ้น ขณะ GL ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นลักษณะธุรกิจในรูปแบบการค้ามากกว่าควบคุมคุณภาพธุรกิจด้านการเงิน

และการที่นักลงทุนจะโฟกัสไปที่สินเชื่อกลุ่มลูกหนี้สิงคโปร์และไซปรัส แต่ก็ยังเกิดข้อสงสัยเช่นกันว่าพอร์ตสินเชื่อที่เหลือทั้งหมดจะเกิดปัญหาเช่นนี้อีกหรือไม่ในอนาคต?

“วรุตม์ ศิวะศริยานนท์” กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ บอกกับ Money Channel ว่า ภายหลังจากฟังคำชี้แจงของผู้บริหาร GL แล้วยังไม่ค่อยเชื่อมั่นเท่าที่ควร ทำให้ปรับลดคำแนะนำเป็น "ขาย" ใช้สมมติฐานที่หลักทรัพย์ค้ำประกันกลุ่มไซปรัสลดลงเหลือครอบคลุมแค่ 60% ของมูลค่าสินเชื่อจากผลกระทบของราคาหุ้น GL ที่ปรับตัวลงหนัก ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราวๆ 400 ล้านบาท แม้ว่าการทำธุรกิจของ GL จะแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ที่มีความเข้มงวดมากกว่า เพราะหากมี NPL จะต้องตั้งสำรองฯ แต่ทว่าผู้บริหาร GL เองยืนยันว่าไม่ตั้งสำรองหนี้สูญ แต่ทั้งนี้ คงต้องมาจับตาว่าในวันที่ 17 มี.ค.นี้ในการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จะมีข้อสรุปการเรียกสินทรัพย์เพิ่มเติมได้หรือไม่ หากไม่ได้ก็คงจำเป็นต้องตั้งสำรองฯ เงินที่สูญเสียไปราวๆ 400 ล้านบาท ซึ่งจะกระทบต่อประมาณการปีนี้ 

ปัจจุบัน โบรกเกอร์รายนี้หั่นราคาพื้นฐาน GL เหลือแค่ 16 บาทเท่านั้น จากเดิมเคยให้ไว้ถึง 60 บาท อย่างไรก็ตาม ถ้าหากบริษัทฯ สามารถเรียกหลักประกันมาได้จริง หรือให้ความเชื่อมั่นได้มากกว่านี้ ก็อาจจะพิจารณาปรับเพิ่มประมาณการได้ 

ด้าน “ประกิต สิริวัฒนเกตุ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยกับ Money Channel หลังฟังคำชี้แจงของ GL เขายอมรับว่า โดยส่วนตัวยังไม่เคลียร์ในหลายประเด็นที่ทางผู้บริหารได้ให้ข้อมูล เพราะข้อเท็จจริงแล้วเมื่อไม่ตั้งสำรองก็ไม่กระทบต่อกำไร แต่การเรียกหลักทรัพย์มาค้ำประกันเพิ่มได้หรือไม่ เป็นสิ่งที่กำลังติดตามในการประชุมบอร์ดปลายสัปดาห์นี้ 

นักวิเคราะห์ยังอยากทราบด้วยว่ากลุ่มลูกหนี้ในกัมพูชา ภาวะธุรกิจปัจจุบันเป็นอย่างไร และในอีกหลายเรื่องที่ยังสร้างความกังวล โดยในส่วนของกสิกรไทย เคยทำประมาณการหุ้น GL แต่ได้เลิกทำไปเมื่อไตรมาส 3 ปี 2559 เพราะราคาหุ้นสูงเกินไป โดยในช่วงนั้นหุ้น GL มีระดับ P/E ขึ้นไปถึง 30-50 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มลีสซิ่งที่อยู่ 15-20 เท่า  ขณะ Price/Book Value ขึ้นไปถึงกว่า 10 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มฯ ที่อยู่ 3-5 เท่า ดังนั้น คำแนะนำที่มีให้กับลูกค้าตอนนี้ก็คือให้ระมัดระวังอย่างสูงหากจะเข้าเก็งกำไรในหุ้น GL ในเวลานี้

PTG

PTG ร่วมทุนสร้างโรงงานเอทานอลผลิตวันละ 2แสนลิตร




PTG ร่วมทุน "เอี่ยมบูรพา" สร้างโรงงานเอทานอลมูลค่า 1.5 พันล้านบาท  ถือหุ้น 60:40  กำลังผลิต  2 แสนลิตรต่อวัน เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 63 พร้อมวางเป้ารายได้ปี60 โตไม่ต่ำ 30% 

บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ผู้ให้บริการสถานีน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้แบรนด์ PT ประกาศจับมือบริษัท เอี่ยมบูรพา ก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลังกำลังผลิต 2 แสนลิตรต่อวัน มูลค่า 1.5 พันล้านบาท โดยเดินหน้าผ่านบริษัทร่วมทุน "อินโนเทค กรีนเอ็นเนอยี"  ซึ่งทาง PTG ถือหุ้น 60% พร้อมกับจัดพิธีลงนามกับพันธมิตรกลุ่มทุนญี่ปุ่น "ซัปโปโร โฮลดิ้ง" เพื่อใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยลดต้นทุน เสริมศักยภาพทำกำไรในระยะยาว โดยตั้งเป้ารายได้ปี 2560 เติบโตไม่ต่ำกว่า 30% 
  
"โครงการนี้เราร่วมทุนกับ บริษัทเอี่ยมบูรพา งบลงทุนโครงการ 1.5 พันล้านบาท กำลังผลิต 2 แสนลิตรต่อวัน ผ่านบริษัทร่วมทุน อินโนเทค กรีนเอ็นเนอยี ที่เราถือหุ้น 60% และ เอี่ยมบูรพาถือหุ้น40% การลงทุนนี้มองว่ามีโอกาสเติบโตมากเพราะในอนาคตเราต้องการใช้เอทานอลไม่ต่ำกว่า 1 ล้านลิตรอยู่แล้ว ทำให้มีความจำเป็นต้องมีแหล่งผลิตโดยตรงไม่ว่าจะจากมันสำปะหลัง หรือจากกากน้ำตาลที่กำลังอยู่ระหว่างเจรจา"นายพิทักษ์กล่าว

บริษัทเอี่ยมบูรพา มีสัดส่วนผลิตมันสำปะหลังกว่า 30% ของยอดใช้ทั้งประเทศ และการลงนามพันธมิตรญี่ปุ่น จะช่วยให้เอทานอลมีปริมาณมากขึ้นจากเทคโนโลยีทันสมัย เริ่มก่อสร้างในปี 61และเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ ในปี 63 

ผู้บริหาร PTG ระบุว่า โครงการนี้มีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ประมาณ 20% หรือสร้างกำไรสุทธิ 300 ล้านบาทต่อปี  โดยจะเดินเครื่องการผลิตเต็มกำลังในปี 64 เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลัง จะมีต้นทุนต่ำกว่าวัตถุดิบอื่น 3 บาทต่อลิตร

อีกทั้งยังมีแผนจะสร้างโรงงานเอทานอลจากกากมันสำปะหลัง โรงที่ 2 ขนาดกำลังผลิต 2 แสนลิตรต่อวัน หลังจากโรงงานแรกเริ่มก่อสร้างแล้ว 1 ปี จะทำให้ในปี 64-65 มีกำลังผลิตอยู่ที่ 4แสนลิตรต่อวัน โดยเงินลงทุนโรงงานแห่งที่ 2 จะใช้ไม่ถึง 1.5 พันล้านบาท เนื่องจากอยู่พื้นที่เดียวกับโรงงานแห่งแรก จึงไม่มีต้นทุนการซื้อที่ดินเพิ่ม 

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 60 บริษัทคาดมีปริมาณขายน้ำมันอยู่ที่ 3.9-4 พันล้านลิตร เติบโต 30% จากปี 59 อยู่ที่ประมาณ 2.9 พันล้านลิตร และคาดจะทำรายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1 แสนล้านบาท จากปี 59 ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 6.4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น และราคาน้ำมันดิบมีทิศทางเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 55-60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่ม 2-3 บาทต่อลิตร แต่เชื่อไม่กระทบจิตวิทยาการบริโภคน้ำมัน

TTA

TTA ลุ้นค่าระวางเรือฟื้น พลิกธุรกิจปี 60 มีกำไร




หุ้น TTA หรือ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารมองธุรกิจในปีนี้จะพลิกกลับมามีกำไรจากผลขาดทุนในปีก่อน โดยธุรกิจเดินเรือ น่าจะทำกำไรได้ดีขึ้นจากค่าระวางเรือที่ปรับตัวเพิ่ม 


นายจิเทนเดอร์ พอล เวอร์มา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัการใหญ่อาวุโสและประธานเจ้าหน้าที่การเงิน  TTA เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการของ TTA ในปีนี้ มีโอกาสพลิกกลับมามีกำไรจากผลขาดทุน 418 ล้านบาทในปีก่อน  โดยปัจจัยหลัก จะมาจากการเติบโตของทุกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจเดินเรือ เนื่องจากค่าระวางเรือในปัจจุบัน ปรับตัวดีขึ้น หลังจากผู้ให้บริการในตลาดหลายราย ประสบปัญหาขาดทุนทำให้หายออกไปจากตลาด ซึ่งส่งผลให้ดีมานด์-ซัพพลายเข้าสู่จุดสมดุล 

นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจของ บมจ.เมอร์เมด มาริไทม์ ก็ยังมีโอกาสการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องจากปีก่อน หากราคาน้ำมันยัง ทรงตัวอยู่ในระดับสูงเช่นในปัจจุบัน เช่นเดียวกับธุรกิจเทรดดิ้งถ่านหิน ที่ในปีนี้มีแนวโน้มจะมีผลขาดทุนลดลง เนื่องจากราคาถ่านหินปรับตัวดีขึ้น

ส่วนธุรกิจจำหน่ายปุ๋ย ของ บริษัท พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMTA ในปีนี้ ยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากภาพรวมภัยแล้งในประเทศเวียนนามในปีนี้จะลดน้อยลง ทำให้ความต้องการใช้ปุ๋ยเพิ่มขึ้น ประกอบกับ บริษัทฯ ได้ขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้น ทั้งแอฟริกาและฟิลิปปินส์

ผู้บริหาร TTA ยังบอกด้วยว่า บริษัทฯ พร้อมที่จะมองหาโอกาสทางธุรกิจเพิ่มเติม ด้วยความพร้อมด้านกระแสเงินสดที่มีอยู่ถึง 10,000 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจด้านอาหาร เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ TTA สนใจ หลังจากบริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด (PHC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้น 70% เข้าทำสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ในกิจการ "พิซซ่า ฮัท"ในประเทศไทยแล้วในปีนี้ ซึ่งธุรกิจดังกล่าว คาดว่าจะสามารถเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 นี้ 

PTTGC

PTTGC คาดกำไรปี 60 หนุนโดยกำลังการผลิต-ราคาผลิตภัณฑ์ 




*PTTGC เผยกำลังการผลิตจากทุกส่วน จะเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว
*โรงงานโอเลฟินส์ กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นจาก 90% เป็น 94%
*กำลังการผลิตของโรงกลั่น จะเพิ่มขึ้นจาก 83% เป็น 100% ด้วย
*คาดราคาน้ำมันปีนี้ อยู่ที่ 52-55 เหรียญต่อบาร์เรล หนุนมาร์จิ้นธุรกิจโอเลฟินส์และโรงกลั่นดีต่อเนื่อง
*คาด 4Q/60 มีโอกาสบันทึกกำไรจากการซื้อหุ้นปิโตรเคมีทั้ง 6 บริษัท จาก PTT
“พีทีที โกลบอล เคมิคอล” (PTTGC มีแนวโน้มภาพรวมกำไรในปีนี้จะดีกว่าปีก่อน จากกำลังการผลิตทุกส่วนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน อีกทั้งราคาผลิตภัณฑ์ยังมีแนวโน้มดีกว่าปีที่แล้ว รวมถึงมาร์จิ้นจากธุรกิจโรงกลั่นด้วย

นายทิติพงษ์ จุลพรศิริดี ผู้จัดการฝ่ายหน่วยงานการเงินองค์กร และนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บอกว่าในปีนี้ กำลังการผลิตของ PTTGC จะเพิ่มขึ้นจากทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นโรงงานโอเลฟินส์ ที่กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 94% จาก 90% ในปีที่ผ่านมา และกำลังการผลิตของโรงกลั่นเอง ก็จะเพิ่มขึ้นจาก 83% เป็น 100% ด้วย

นอกจากนี้ ระดับราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งกลุ่มปตท.คาดว่าจะอยู่ที่ 52-55 เหรียญต่อบาร์เรล ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ในปีนี้ ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะทำให้ธุรกิจโอเลฟินส์ มีมาร์จิ้นที่ดีขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับมาร์จิ้นของธุรกิจโรงกลั่นที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.9 เหรียญต่อบาร์เรลในปีนี้ จาก 5.3 เหรียญต่อบาร์เรลในปีที่ผ่านมา

ในปีนี้ PTTGC ยังมีโอกาสบันทึกกำไรจากการซื้อหุ้นปิโตรเคมีทั้ง 6 บริษัท จากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT มูลค่าราว 20,000 ล้านบาท  ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมด จะเสร็จสิ้นและสามารถเข้าซื้อสินทรัพย์ได้ในช่วงเดือนตุลาคมนี้

GL

GL บอกยังไม่ตัดสินใจซื้อหุ้นคืน หุ้นเปิดบวกต่อ

หุ้น GL เปิดตลาดเช้านี้วิ่งขึ้นต่อไม่สะทกสะท้าน หลังบริษัทชี้แจงข่าวการซื้อหุ้นคืนเป็นการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนระหว่างการสัมภาษณ์ผู้บริหาร ขณะที่แนวทางนี้เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในการเรียกความเชื่อมั่น ขณะที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ

หุ้นล่าสุด (คลิ๊กที่นี่) GLเปิดตลาดเช้าพุ่งขึ้นไปที่ 28 บาท เพิ่มขึ้น 21.74% จากราคาปิดวานนี้ที่ 23 บาท 

บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) ชี้แจงข่าวการซื้อหุ้นคืนว่า อ อาจมีความเข้าใจผิดจากการสื่อสารทีไม่ชัดเจนระหว่างการสัมภาษณ์ผู้บริหารที่อาจทําให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนระหว่างการตอบคําถามของผู้บริหารในการแถลงข่าว

GL ระบุว่า เมื่อเช้าวานนี้มีผู้สอบถามว่า ราคาหุ้นของบริษัทตกลงอย่างมาก บริษัทจะมีแผนในการซื้อหุ้นคืนเพือสร้างความเชือมันให้กับนักลงทุนหรือไม่ และนายทัตซึยะ โคโนชิตะได้ตอบข้อซักถามดังกล่าวว่า การซื้อหุ้นคืนเป็นเพียงทางเลือกทางหนึ่งที่บริษัทสามารถทําได้เนื่องจากมีกระแสเงินสดคงเหลืออยู่มาก และกําลังอยู่ระหว่างการพิจารณา

GL ให้คำจำกัดความว่า การตอบคำถามหมายความว่าบริษัทมีหลายทางเลือกที่สามารถทําได้เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนคืน  และบริษัทกําลังอยู่ระหว่างการพิจารณาทางเลือกที่เป็นประโยชน์ต่อบริษัทมากที่สุด

ขณะที่บริษัทยังไม่มีการนําเสนอเรืองดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการบริษัท

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้ความเห็นว่า GL ชี้แจงข่าวเรื่องการซื้อหุ้นคืนว่าเป็นเพียงทางเลือกหนึ่ง ยังไม่ได้ตัดสินใจ ส่วนตลท.อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลการชี้แจงจาก GL ว่าครบถ้วนหรือไม่ 

ขณะที่ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาเป็นโอกาสให้นักลงทุนพิจารณา “ขาย” ลดความเสี่ยง 

วันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2560

GL

GL ยันฐานะการเงินแกร่ง ปัญหาลูกหนี้ไม่กระทบผลงาน


เรียกว่าเป็นหุ้นที่กำลังถูกจับตาอย่างใกล้ชิด สำหรับหุ้นของ บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) ในระหว่างวันราคาหุ้นดีดขึ้นชนซิลลิ่ง หลังจากโดนเทขายหนักมาตลอดเกือบ 2 สัปดาห์ เนื่องจากมีความกังวลว่าผู้กู้ยืมที่เป็นกลุ่มในสิงคโปร์และไซปรัส ส่วนหนึ่งได้นำหุ้นของ GL มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้มีคำถามว่าจะมีความเสี่ยงกระทบต่อผลประกอบการหรือไม่ หลังราคาหุ้น GL ปรับตัวร่วงลงอย่างมาก 


ทางผู้บริหาร GL ยอมรับว่า จำเป็นต้องเรียกหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่มเติมกับผู้กู้เพิ่ม คาดชัดเจนในเดือน มี.ค.นี้ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมกับยืนยันถึงความแข็งแกร่งฐานะทางการเงิน และธุรกิจจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย 
ไปติดตามรายละเอียดกับบทสัมภาษณ์คุณมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการ บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) พร้อมกันเลยครับ/ค่ะ 


ผู้บริหาร บออกอีกว่า หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา แนวทางการซื้อหุ้นคืนก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่บริษัทฯสามารถดำเนินการได้เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน เพราะปัจจุบันมีเงินสดในมือกว่า 2.5 พันล้านบาท แต่จะดำเนินการหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการบริษัทฯที่จะประชุมในวันที่ 17 มี.ค.นี้ 

ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมากลุ่ม J Trust พันธมิตรของบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น มีแผนที่จะซื้อหุ้นของ GL เพิ่มจากปัจจุบันถืออยู่ 6.5% ซึ่งขณะนี้ J Trust อยู่ระหว่างปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ญี่ปุ่นว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ เพราะกังวลว่าจะเป็นการอินไซด์ข้อมูล เนื่องจากการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกัน แต่ก่อนหน้านี้ J Trust ได้ซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนท์)ของ GL จำนวน 8.1 ล้านหน่วย

สำหรับประเด็นการเข้าซื้อกิจการในศรีลังกา บริษัทCCF ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศศรีลังกา ยอมรับว่าแม้ปัจจุบันราคาหุ้นของ CCF ปรับตัวลดลงมาก แต่บริษัทไม่จำเป็นต้องบันทึกด้อยค่า ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานบัญชีทั่วโลก กรณีการตั้งด้อยค่าการลงทุนจะตั้งเฉพาะกรณีที่บริษัทที่เข้าไปลงทุนมีผลขาดทุนเท่านั้น

มาที่ด้านนางเกศรา มัญชุศรี ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) บอกว่า ขณะนี้ทางตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลการชี้แจงของ GL ที่แจ้งเข้ามาวานนี้ (13 มี.ค.) ว่าข้อมูลครบถ้วนตามที่ส่งคำถามไปหรือไม่ ซึ่งหากข้อมูลไม่สามารถตอบคำถามได้ชัดเจน ตลท.จะส่งหนังสือไปยัง GL เพื่อขอคำชี้แจงเพิ่มเติมต่อไป อย่างไรก็ตาม ทางตลาดหลักทรัพย์จะไม่เข้าไปตรวจสอบบริษัทอื่นในกลุ่มธุรกิจลีซซิ่ง เนื่องจากยังมีการประกอบธุรกิจตามปกติ โดยจะติดตามเป็นราย

KKP

KKP ตั้งเป้าสินเชื่อรายย่อยปีนี้โต 5 เปอร์เซ็นต์ หลังปรับโครงสร้างภายใน




ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) ผู้บริหารตั้งเป้าสินเชื่อรายย่อยปีนี้ขยายตัว 5% จากพอร์ตสินเชื่อรายย่อยในปัจจุบันที่ 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งการขยายตัวเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับภาพรวมสินเชื่อทั้งระบบที่ขยายตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากมาตรการกระตุ้นภาครัฐช่วยหนุนการบริโภคภาคเอกชนดีขึ้น 
ธนาคารฯ ตั้งเป้าที่จะขยายฐานลูกค้าสินเชื่อรายย่อย ผ่านสายงานช่องทางการตลาดและพัฒนาฐานลูกค้า (Alternative Distribution Chanel หรือ ADC) ซึ่งเป็นสายงานใหม่ที่ตั้งขึ้น เพื่อให้บริการสินเชื่อรายย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นการยกระดับธนาคารสู่การเป็น Credit House คุณภาพได้ตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้
โดยเบื้องต้นเชื่อว่า จะมียอดสินเชื่อใหม่ผ่านทางสายงานดังกล่าวราว 1 หมื่นล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่อัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จะยังสามารถควบคุมให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ราว 2% ได้

ธนาคารฯ ยังตั้งเป้าที่จะปรับพอร์ตระหว่างสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ให้อยู่ในระดับ 50:50 ภายใน 3 - 4 ปีข้างหน้า จากสิ้นปีก่อนที่มีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยอยู่ที่ 30% ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์อยู่ที่ 70%
โดยธนาคารฯ มองว่า แนวโน้มของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เริ่มมีการชะลอตัวลง และมีการแข่งขันที่สูงขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงหากยังคงเน้นการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในระดับที่สูง และสินเชื่อรายย่อยเป็นสินเชื่อที่ให้มาร์จิ้นดี ซึ่งถือเป็นโอกาสของธนาคารฯ ในการขยายการเติบโตและรุกตลาดใหม่ๆเพิ่มขึ้น

GL

GL พลิกกลับพุ่งชนซิลลิ่ง หลังประกาศซื้อหุ้นคืน

น GL เปิดช่วงบ่ายพุ่งชนซิลลิ่ง หลังช่วงเช้าเปิดมาร่วงลงแตะฟลอร์ ผู้บริหารระบุ เตรียมรียกหลักประกันเพิ่มให้ครอบคลุมเงินกู้ทั้งหมด พร้อมชงบอร์ดขอซื้อหุ้นคืน 17 มี.ค.นี้  ด้านตลท.ขอตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูลก่อน

หุ้น GL ล่าสุด (15.06 น.) อยู่ที่ราคาซิลลิ่ง 23 บาท เพิ่มขึ้น 5.30 บาท จากราคาปิดวานนี้ที่ร่วลงติดฟลอร์ที่ 17.70 บาท 

ในการแถลงข่าวช่วงเช้าผู้บริหารของบมจ.กรุ๊ปลีส (GL)  ระบุว่า เตรียมเสนอคณะกรรมการบริษัทในวันที่ 17 มี.ค. เพื่อพิจารณาแนวทางซื้อหุ้นคืน หลังราคาหุ้นร่วงหนัก 
          
นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ GL กล่าวว่า บริษัทจะพิจารณาเรียกหลักประกันเพิ่มเติมจากผู้กู้กลุ่มไซปรัสและผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์ หลังจากที่ราคาหุ้น GL ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เพื่อให้มูลค่าหลักประกันครอบคลุมเงินกู้ทั้งหมดที่กลุ่มบริษัทปล่อยกู้ไป
          
อย่างไรก็ตามยังยืนยันว่าผู้กู้กลุ่มไซปรัสและผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์ ไม่ได้มีปัญหาการจ่ายดอกเบี้ย

ด้านนางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า หลังจาก GL  ได้ชี้แจงข้อมูลต่อตลท. จะต้องให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องก่อนว่าครบถ้วนหรือไม่ เนื่องจากตลท.ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ให้ครบถ้วนที่สุด
         
ส่วนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น GL ตลท.ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดเป็นหลัก หรือเป็นไปตามผลการดำเนินงานของแต่ละรายบริษัทนั้นๆ 

อย่างไรก็ตามแนะนำว่า นักลงทุนควรติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดและให้ครบถ้วนก่อนจะลงทุน

ACAP

ACAP ย้ำยึดหลักธรรมภิบาล บริหารมืออาชีพ


ACAP  เตือนนักลงทุนอย่าตื่นข่าวลือในโซเชี่ยล ยืนยันยึดหลักธรรมภิบาล บริหารงานด้วยความโปร่งใส พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจมั่นใจพอร์ตสินเชื่อทั้งปีโต 6,000 ล้านบาท

นางสาวสุกัญญา สุขเจริญไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ACAP เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ประกอบการธุรกิจการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดย่อม โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้มากขึ้น ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่ช่วยการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ

สำหรับขั้นตอนการพิจารณาเพื่ออนุมัติในการปล่อยสินเชื่อนั้น ทางACAP มีการเช็คประวัติลูกค้า และตรวจสอบข้อกฎหมายที่สำคัญตรวจสอบคุณภาพทรัพย์สินก่อนปล่อยสินเชื่ออย่างละเอียด ซึ่งการพิจารณาดังกล่าวมีเงื่อนไขที่ไม่ต่างจากสถาบันการเงินทั่วไป แต่บริษัทฯมีการดำเนินการได้กระชับ รวดเร็วและยืดหยุ่นให้กับผู้ประกอบการมาก กว่าสถาบันการเงิน 

ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าของบริษัทฯจะเป็น บริษัท นิติบุคคลในอุตสาหกรรมต่างๆที่ต้องการความรวดเร็วในการหาแหล่งเงินทุน และมีหลักประกันที่ไม่ด้อยค่าและเป็นหลักประกันที่ดี ที่สำคัญจะมีการพิจารณาลูกค้าจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญในวงการการให้บริการสินเชื่อ ส่วนบริษัทที่ประเมินมูลค่าทรัพย์สิน และผู้ประเมินหลักที่บริษัทฯไว้วางใจ เป็นบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ และมีรายชื่อที่ได้รับความเห็นชอบจากทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทั้งสิ้น

ACAP ระบุว่า กล่าวเพิ่มว่า บริษัทฯมีคณะทำงานที่เป็นผู้มีความรู้ความสามารถและทำงานกันอย่างจริงจังที่สำคัญเรายึดหลักความถูกต้องโปร่งใสตามหลักธรรมภิบาล เราทำงานด้วยความทุ่มเทเพื่อให้บริษัทได้เติบโตอย่างยั่งยืน และมั่นคง และมีความตั้งใจให้ ACAP เป็นสถาบันของสินเชื่อที่มีส่วนในการผลักดันผู้ประกอบการไทยให้เติบโตไปพร้อมๆกับเศรษฐกิจไทย  

ดังนั้นจึงอยากให้กลุ่มผู้ถือหุ้น และ นักลงทุน เชื่อมั่นในหลักการบริหารงานที่โปร่งใส และ ความเป็นมืออาชีพของคณะผู้บริหาร รวมถึงพนักงานของACAP ทุกคน  

“บริษัทไม่อยากให้นักลงทุนตื่นตระหนกกับกระแสข่าวลือ ต่างๆ และอยากให้นักลงทุนศึกษาการดำเนินธุรกิจของบริษัทมากว่าที่จะเชื่อแต่ข่าวตามโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะทางไลน์ หรือ เขาว่า ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของนักลงทุนเอง”นางสาวสุกัญญากล่าว 

 สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/2560 มองว่า มีการเติบโตอย่างมั่นคง จากปัจจุบันที่มีลูกค้าต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายพอร์ตสินเชื่อที่ 6,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 2559 ที่มีพอร์ตสินเชื่อประมาณ 4,500 ล้านบาท

BBL

BBL ไม่ห่วงเฟดขึ้นดอกเบี้ย คงเป้าสินเชื่อปีนี้โต 3-5% 


ในมุมมองของนายแบงก์ต่อผลกระทบจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เตรียมขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้  

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) บอกว่าแม้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ แต่แนวโน้มดอกเบี้ยในไทยเอง คาดว่าจะเห็นสัญญาณการปรับขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า หรืออย่างช้าในช่วงปลายปี พร้อมกับมองว่าปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยไทยยังเอื้อต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ขณะคาดว่าสินเชื่อรวมในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าที่ 3-5% 

ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปีนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินจะยังคงอยู่ที่ระดับ 1.5% แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) มีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยในประชุมวันที่ 14-15 มี.ค. นี้ก็ตาม เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบันเป็นระดับที่ยังเอื้อต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย คาดจะเห็นสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยในไทยอีก 6 เดือนข้างหน้าหรืออย่างช้าก็ปลายปี

ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อปี 60 เติบโต 3-5% จากสิ้นปี 59 อยู่ที่ 3.9% ซึ่งมีแรงหนุนจากการลงทุนโครงการของภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยธนาคารประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 3% ขณะที่การขยายตัวของสินเชื่อจะเห็นภาพการฟื้นตัวที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะโครงการลงทุนของภาครัฐต่างๆจะทยอยออกมา 

สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ของธนาคารในปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 3.2% ซึ่งธนาคารมองว่าแนวโน้มหนี้เสียในปัจจุบันยังไม่น่ากังวลแต่ยังต้องติดตาม และ ให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าอย่างใกล้ชิด

KKP

KKP ตั้งเป้าสินเชื่อรายย่อยปีนี้โต 5%

KKP ตั้งเป้าสินเชื่อรายย่อยปีนี้โต 5% หลังปรับโครงสร้างภายใน วางแผนขยับพอร์ตรายย่อยเป็น 50% ใน 3-4 ปี จาก 30% ณ สิ้นปี 59

ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) ผู้บริหารตั้งเป้าสินเชื่อรายย่อยปีนี้ขยายตัว 5% จากพอร์ตสินเชื่อรายย่อยในปัจจุบันที่ 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งการขยายตัวเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับภาพรวมสินเชื่อทั้งระบบที่ขยายตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากมาตรการกระตุ้นภาครัฐช่วยหนุนการบริโภคภาคเอกชนดีขึ้น 

ธนาคารฯ ตั้งเป้าที่จะขยายฐานลูกค้าสินเชื่อรายย่อย ผ่านสายงานช่องทางการตลาดและพัฒนาฐานลูกค้า (Alternative Distribution Chanel หรือ ADC) ซึ่งเป็นสายงานใหม่ที่ตั้งขึ้น เพื่อให้บริการสินเชื่อรายย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นการยกระดับธนาคารสู่การเป็น Credit House คุณภาพได้ตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ 

โดยเบื้องต้นเชื่อว่า จะมียอดสินเชื่อใหม่ผ่านทางสายงานดังกล่าวราว 1 หมื่นล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่อัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จะยังสามารถควบคุมให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ราว 2% ได้  

ธนาคารฯ ยังตั้งเป้าที่จะปรับพอร์ตระหว่างสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ให้อยู่ในระดับ 50:50 ภายใน 3 - 4 ปีข้างหน้า จากสิ้นปีก่อนที่มีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยอยู่ที่ 30% ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์อยู่ที่ 70% 

โดยธนาคารฯ มองว่า แนวโน้มของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เริ่มมีการชะลอตัวลง และมีการแข่งขันที่สูงขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงหากยังคงเน้นการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในระดับที่สูง และสินเชื่อรายย่อยเป็นสินเชื่อที่ให้มาร์จิ้นดี ซึ่งถือเป็นโอกาสของธนาคารฯ ในการขยายการเติบโตและรุกตลาดใหม่ๆเพิ่มขึ้น

AGE

AGE ตั้งเป้าปี 60 ยอดขายถ่านหินโต 25-30%

AGE ตั้งเป้ายอดขายถ่านหินปีนี้ เติบโต 25-30% พร้อมมุ่งผลักดันรายได้ต่างประเทศให้เพิ่มขึ้นเป็น 30% ของยอดขายรวม

นายชโลธร ลีลามะลิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัทเอเชียกรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE  ผู้จัดจำหน่ายถ่านหินบิทูมินัส (ถ่านหินสะอาด) มองว่าระดับราคาถ่านหินทั้งปีนี้ น่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 80 เหรียญต่อตัน ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เริ่มต้นปีที่ระดับ 50 เหรียญต่อตัน โดยมีปัจจัยบวกสำคัญ จากการควบคุมกำลังการผลิตของจีนเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ AGE ซึ่งประกอบธุรกิจเทรดดิ้ง คาดว่าจะสามารถทำยอดขายในปีนี้ได้สูงขึ้น 25-30% จากปีก่อน เพราะจะเน้นการเพิ่มยอดขายในต่างประเทศเพิ่มขึ้น อย่างในจีน ล่าสุด ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับพาร์เนอร์ท้องถิ่น เพื่อขยายการลงทุนธุรกิจถ่านหินมากขึ้น โดยตั้งเป้ายอดขายในจีนไว้ประมาณ 50,000 ตันต่อเดือน

บริษัทฯ ยังมีแผนขยายตลาดในเวียดนามมากขึ้น และล่าสุด กำลังขยายตลาดในอินเดียเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ซึ่ง AGE คาดหวังว่าสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศ จะขยับขึ้นไปถึง 30% ในปีนี้

GL

GL ร่ายยาวยันไม่ต้องตั้งสำรองเพิ่ม หุ้นเปิดดิ่งติดฟลอร์ 

GL เปิดร่วงติดฟลอร์ หลังเปิดคำชี้แจงร่ายยาวถึงตลท. ยืนยันปล่อยกู้บริษัทย่อยดำเนินธุรกิจตามปกติ  ด้านผู้บริหารระบุ ไม่ต้องตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสําหรับผู้กู้ทั้ง 2 กลุ่ม ส่วนโบรกมองต่าง  ขณะที่แนะใช้วิจารณญานในการตัดสินใจลงทุน

ราคาหุ้นล่าสุด (คลิ๊กที่นี่) GL เปิดเช้าร่วงติดฟลอร์ที่ 12.40 บาท  จากราคาปิดวานนี้ที่ 17.70 บาท ก่อนจะเริ่งมขยับขึ้นมาลดช่วงลบ แต่ยังคงติดลบกว่า 26% 

บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) แจ้งตลาดหลักทรัพย์  ชี้แจงถึงประเด็นข้อสังเกตของผู้สอบบัญชีกรณีเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยค้างรับว่า ธุรกิจการให้กู้ยืมของ Group Lease Holdings Pte. Ltd. (“GLH”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเป็นไปตามธุรกิจปกติของ
GLH ตามที่ปรากฏในหนังสือบริคณห์สนธิของ GLH และกฎหมายในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่ GLH จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นกําหนดให้ทําได้ 

GLH เป็นบริษัทย่อยซึ่งบริษัทถือหุ้นทั้งหมดใน  โดยจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทจํากัดในวันที่ 10กุมภาพันธ์ 2557 และมีทุนจดทะเบียน 214,447,594 ดอลลาร์สิงคโปร์  ราคาที่ตราไว้หุ้นละ 1ดอลลาร์สิงคโปร์

ส่วนวัตถุประสงค์หลักทางธุรกิจของ GLH คือการถือหุ้นในบริษัทย่อยอืนๆ และการให้เงินกู้ยืมราย

GL ชี้แจงรายละเอียดของผู้กู้ว่า  ผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์เป็ นส่วนหนึงของกลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศซึงก่อตั้งมาเป็นเวลานานแล้ว และถือหุ้นโดยครอบครัวนักธุรกิจชาวญีปุ่น  โดยผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์มียอดเงินต้นรวม 56,346,950 ดอลลาร์สหรัฐ เงินต้นจํานวน 16,775,000 ดอลลาร์สหรัฐ และจะครบกําหนดในปี 2560 และเงินต้นส่วนทีเหลือจํานวน 39,571,950 ดอลลาร์สหรัฐจะครบกําหนดในปี2561

ส่วนผู้กู้กลุ่มไซปรัสเป็นส่วนหนึงของกลุ่มธุรกิจระหว่างประเทศซึงก่อตั้งมาเป็นเวลานานแล้ว และถือหุ้นโดยครอบครัวนักธุรกิจชาวกัมพูชา โดยผู้กู้กลุ่มไซปรัสซึงมียอดเงินต้นรวม 41,779,071 ดอลลาร์สหรัฐ เงินต้นจํานวน 16,572,127 ดอลลาร์สหรัฐจะครบกําหนดในปี 2561 จํานวน 22,946,310 ดอลลาร์สหรัฐ จะครบกําหนดในปี 2562 และเงินต้นส่วนที่เหลือจํานวน 2,260,634 ดอลลาร์สหรัฐจะครบกําหนดในปี 2563

GLH มีนโยบายในการให้กู้ยืมแก่ลูกค้ารายใหม่ๆ โดยการให้เป็นเงินกู้ยืมระยะสั้นในช่วงระยะเวลาเริมต้นเพื่อให้ GLH สามารถดูแลและตรวจสอบสถานะ รวมถึงความสัมพันธ์กับผู้กู้รายดังกล่าวก่อน แล้วหากเห็นว่าสามารถดําเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจร่วมกับผู้กู้รายนั้น ได้ GLH จะขยายระยะเวลาสําหรับเงินให้กู้ยืมดังกล่าวให้เป็นเงินให้กู้ยืมระยะยาว 

สําหรับผู้กู้ทั้ง 2 กลุ่มข้างต้น เดิมผู้กู้ขอสินเชื่อเป็นเงินให้กู้ยืมระยะยาวทีมีกําหนดชําระหนี้คืนเมื่อครบระยะเวลา 3 ปี แต่เพือปฏิบัติตามนโยบายในการให้กู้ยืมของ GLH ข้างต้น GLH จึงกําหนดให้เป็นเงินกู้ระยะสั้นโดยมีกําหนดชําระเงินกู้ยืมคืนภายในระยะเวลา 3 เดือน และในเวลาต่อมาได้ขยายระยะเวลาชําระเงินให้กู้ยืมคืนเป็ น 1 ปี และ 3 ปีตามลําดับ 

ทั้งนี้การขยายระยะเวลาชําระเงินให้กู้ยืมให้แก่ผู้กู้ทั้ง 2 กลุ่มข้างต้นไม่ได้เกิดจากการทีผู้กู้ดังกล่าวผิดนัดชําระหนี้  ในการนี้ GLH จะเรียกเก็บดอกเบี้ยที่ครบกําหนดชําระตามสัญญาเงินกู้ทีเกียวช้องเป็นรายไตรมาส โดยปกติ GLH จะออกใบแจ้งหนี้สําหรับดอกเบี้ย ดังกล่าวภายใน 5-6 อาทิตย์   

หลังจากสิ้นไตรมาส เมื่อมีการออกใบแจ้งหนี้แล้ว ผู้กู้จะชําระเงินตามจํานวนได้รับแจ้งภายใน 1-3 สัปดาห์ โดยในปี 2558 และ 2559 ไม่มีดอกเบี้ยค้างชําระ และ GLH ได้รับชําระดอกเบี้ยครบถ้วนจากผู้กู้ทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าวมาโดยตลอด ดอกเบี้ยรับจํานวน 485 ล้านบาท คิด 16% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2559


ผู้บริหารจึงมีความเห็นว่าไม่ต้องตั้งค่าเผือหนี้สงสัยจะสูญสําหรับผู้กู้ทั้ง 2 กลุ่มข้างต้น และผู้สอบบัญชีได้พิจารณาว่าเงินกู้ยืมดังกล่าวเป็นลูกหนี้ปกติเช่นกันและไม่ได้ตั้งสํารองค่าเผือหนี้สงสัยจะสูญสําหรับเงินกู้ยืมดังกล่าวตามที่กล่าวข้างต้น 

GLH มุ่งเน้นการให้กู้ยืมเงินแก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และพันธมิตรทางธุรกิจเป็นหลัก และ GLH ได้ใช้ความระมัดระวังในการให้กู้ยืมแก่กลุ่มผู้กู้ต่างๆ ซึงต้องมีโอกาสทางธุรกิจทีสอดคล้องกับธุรกิจของบริษัทและ GLH ในปัจจุบัน GLH จึงยังไม่มีการกําหนดนโยบายการตั้งค่าเผือหนี้สงสัยจะสูญและมาตรการดําเนินการในกรณีดังกล่าว 

สําหรับเงินที่ GLH ให้กู้ยืม แต่จากนี้ต่อไป GLH จะดูแลและตรวจสอบเงินกู้ยืมแต่ละรายอย่างใกล้ชิด และจะร่วมทํางานกับผู้สอบบัญชีเพือพิจารณาว่ามีความจําเป็ นในการกําหนดการตั้งค่าเผือหนี้สงสัยจะสูญหรือไม่และจะกําหนดการตั้งค่าเผือหนี้สงสัยจะสูญที่เหมาะสมสําหรับเงินกู้ยืมทีเกียวข้องต่อไป 

CBG

CBG ยังร่วงต่อเนื่อง กังวลผลประกอบการ แผนรุกต่างประเทศ 




วอลุ่มตลาดยังต่ำกว่า 4 หมื่นล้านเป็นวันที่สาม (จันทร์ 13 มี.ค.) คล้ายกับตลาดรอคอนเฟิร์มผลการประชุมเฟดขึ้นดอกเบี้ยกลางสัปดาห์ แต่ที่ล่วงหน้าไปก่อนก็คือหุ้นกลุ่มพลังงานที่ถูกขายตามราคาน้ำมันที่ร่วงลงทำนิวโลว์รอบ 3 เดือนแล้ว ไปจนถึงแรงขายหุ้นขนาดกลางและเล็กที่ “Valuation” สูงเกินไป หรือขาดปัจจัยสนับสนุนชัด

หุ้น “คาราบาวกรุ๊ป” หรือ CBG ยังไม่พ้นบ่วงถูกเทขายออกมาต่อเนื่อง กดราคาหุ้นทำจุดต่ำสุดในรอบ 8 เดือน นอกจากจะเป็นการรับเซนติเมนต์ด้านลบของภาวะตลาดโดยรวม นักลงทุนดูยังขาดความเชื่อมั่นเรื่องผลประกอบการที่อาจจะยังไม่พ้นจุดต่ำสุด อันเป็นผลจากแผนการรุกตลาดในจีนและอังกฤษที่ยังรับรู้ผลขาดทุนเข้ามาในงบการเงิน

แหล่งข่าวนักวิเคราะห์บอกกับ Money Channel ว่า แรงขายที่ออกมาอย่างต่อเนื่องในหุ้นของ CBG น่าจะเป็นผลจากการที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นเรื่องผลประกอบการในไตรมาสแรกว่าอาจจะยังไม่พลิกฟื้น หรือยังไม่พ้นจุดต่ำสุด ซ้ำเติมผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วที่ออกมาค่อนข้างผิดหวัง และขณะเดียวกัน อาจยังเป็นเพราะความไม่มั่นใจในการเข้าไปลงทุนในตลาดจีน ว่าจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่ หลังจาก CBG เคยประกาศร่วมลงทุนในจีน เข้าถือหุ้น 41.4% และคาดจะเริ่มดำเนินงานในไตรมาส 2 นี้

มีการประเมินด้วยว่าแรงขายที่ออกมาส่วนใหญ่ น่าจะเป็นนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนกลุ่ม VI รวมทั้งยังมีแรงขายผ่านธุรกรรม “Block Trade” ซึ่งเป็นรูปแบบของ Single Stock Futures ไปเข้าซื้อหุ้นโดยใช้มาร์จิ้น ส่งผลให้ผู้ลงทุนที่เข้าไปซื้อฝั่ง Long ถูกบังคับขาย หรือ “Force Sell” 

ปัจจุบัน หุ้น CBG ยังมีจำนวนสัญญาคงค้างอยู่ราว 15,000 สัญญา หรือคิดเป็นจำนวน 15 ล้านหุ้น ดังนั้น จึงมีคำเตือนว่าในระยะสั้นนักลงทุนยังคงต้องระมัดระวังแรงขาย 

แหล่งข่าวยังแนะให้รอติดตามภายหลังปิดสมุดบัญชีงวดปี 2559 เมื่อวันที่ 10 มี.ค ที่ผ่านมา บริษัทฯ เตรียมแจ้งกับทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 14 มี.ค.นี้ ซึ่งต้องรอดูรายละเอียดอีกครั้ง

“สำหรับหุ้นที่สามารถทำ ‘Block Trade’ ได้ นั้น โดยมากจะเป็นหุ้นใน SET50 และ SET100 ซึ่งมีทั้งกองทุน ต่างชาติ และ prop trade เป็นผู้เล่น ดังนั้นการใช้ศาสตร์ Technical Analysis ในการอ้างอิงจึงเป็นไปตามหลักการทฤษฎี มากกว่าการไปเล่นหุ้น Small Cap ทั่วไป ขณะผู้ลงทุนสามารถเลือกทิศทางได้ทั้งในฝั่ง LONG และ SHORT เพราะฉะนั้น ไม่ว่าตลาดจะเป็นขาขึ้น ขาลง หรือแม้แต่ “ไซด์เวย์” ก็จะมีโอกาสให้กับผู้เล่นอยู่เสมอ นอกจากนั้น การทำ ‘Block Trade’ ใช้เงินน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อหุ้นในตลาด ดังนั้น ด้วยปริมาณเงินที่เท่ากัน ถ้าคาดการณ์ทิศทางราคาได้ถูกต้องจะให้ผลตอบแทนมากกว่าการซื้อหุ้น” 

ด้าน “สุนทร ทองทิพย์” ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี บอกกับ Money Channel ว่า แม้ว่าภาพรวมของ CBG จะยังอยู่ในเซนติเมนต์เชิงลบจากผลกระทบขยายลงทุนต่างประเทศ แต่ในแง่พื้นฐานก็มีโอกาสพลิกฟื้นได้ เพราะล่าสุด บริษัทฯ สามารถนำสินค้าเข้าไปขายผ่าน Modern Trade ได้แล้ว แต่ต้องรอการอัพเดตกับทางผู้บริหารอีกครั้ง  โดยในไตรมาส 4/59 "Intercarabao UK" มีผลขาดทุน 89 ล้านบาท เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการเป็นสปอนเซอร์ทีมเชลซี ทำให้คาดว่า “Intercarabao UK” จะมีผลขาดทุน 222 ล้านบาทในปีนี้ และ 115 ล้านบาทในปี 2561 เนื่องจากยอดขายในอังกฤษยังต่ำกว่าจุดคุ้มทุนที่ 70-80 ล้านกระป๋อง/ปี 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจะต้องจ่ายค่าสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลอังกฤษลีกคัพ เพื่อทําให้แบรนด์คาราบาวเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดโลก โดย CBG ตั้งงบการตลาดไว้ที่ 6-8% ของยอดขายในปี 2560-63 ซึ่งใกล้เคียงกับ “Monster” และเครื่องดื่มระดับโลกแบรนด์อื่นๆ 

CBG มีแผนจะเพิ่มยอดขายในอังกฤษเป็น 30 ล้านกระป๋องในปีนี้จาก 2 ล้านกระป๋องในปี 2559 ด้วยการเพิ่มจุดขายแบบ traditional trade อีกเท่าตัว เป็น 16,000 แห่ง ส่วนในจีน คาดว่าการร่วมทุนที่จีนจะทํากําไรให้กับบริษัทฯ ราว 6 ล้านบาทในปีนี้ และเพิ่มเป็น 100 ล้านบาทในปี 2561

คุณสุนทร บอกว่า ราคาหุ้น CBG ปรับตัวลงในช่วงนี้มีความน่าสนใจในเรื่องมูลค่าหุ้นที่ยังต่ำกว่าราคาพื้นฐาน 70 บาท  แม้ว่ายอดขายในภูมิภาคแข็งแกร่ง การรุกตลาดโลกจะช่วยโปรโมตแบรนด์คาราวบาวไปทั่วโลกในสัญญา 3 ปี แต่สิ่งสำคัญคือต้องรอดูความคืบหน้าของการรุกตลาดอังกฤษและจีนที่ยังสร้างกังวลว่ากําไรจะลดลง (แบบ Y/Y) ในครึ่งปีแรก และอาจจะจํากัด Upside ของราคาหุ้นในระยะสั้น

ส่วนโบรกเกอร์ “เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ” (ประเมินราคาเป้าหมาย CBG 65 บาท) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ว่าการขาดทุนในอังกฤษและบริษัทร่วมทุนในจีนยังเป็นปัจจัยกดดันหลัก แต่ยอดขายในประเทศยังมีแนวโน้มเติบโตดี ขณะที่การส่งออกคาดว่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง  นักวิเคราะห์คาดผลประกอบการในอังกฤษและบริษัทร่วมในจีนจะยังขาดทุนในช่วง 1-2 ปี แต่จะค่อยๆ ฟื้นตัวดีเป็นลำดับ พร้อมมองบริษัทฯ มีศักยภาพที่จะเติบโตได้ในระยะยาว 

ฝั่ง “เคจีไอ” (ให้ราคาเป้าหมาย CBG 69 บาท) คาดว่าการขาดทุนจากการเข้าทำตลาดในยุโรปจะค่อยๆ ลดลงจากการประหยัดต่อขนาด แต่อย่างไรก็ตาม การที่กำไรรายไตรมาสได้หยุดสถิติการเติบโตต่อเนื่องทุกไตรมาส อาจส่งผลเชิงจิตวิทยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ Valuation ของหุ้นค่อนข้างแพง

วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560

GUNKUL

GUNKUL รับรู้รายได้โรงไฟฟ้าลม 60 MW เต็มที่ในปีนี้



“กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง” (GUNKUL) ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 4.3 พันลบ. หลังรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าลมขนาด 60 เมกะวัตต์ เต็มปี ตั้งเป้ามีสัญญาขายไฟฟ้า 1,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2563

นายสมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 4.3 พันล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ 3.63 พันล้านบาท จากการรับรู้รายได้เต็มปีของโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่จ่ายไฟเข้าสู่ระบบในเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้วในเดือนธ.ค. 59 ที่ 60 เมกะวัตต์  ซึ่งจะสร้างรายได้ราว 800 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิราว 45% และจากการรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สระแก้ว 8 เมกะวัตต์ และบางกระเจ้า 5 เมกะวัตต์ พร้อมตรียมจ่ายไฟโครงการพลังงานลมกรีนโนเวชั่น 60 เมกะวัตต์ ในช่วงไตรมาส 4/60

บริษัทฯ มีเป้ารายได้เติบโตอีกราวปีละ 30-40% และมีสัญญาขายไฟฟ้า(PPA)อยู่ที่ 1,000 MW ภายในปี 2563 จากปัจจุบันที่มี 489 เมกะวัตต์ โดยสัดส่วนการขายไฟจะมาจากโครงการในประเทศ 50% และนอกประเทศ 50% ยังเน้นการลงทุนพลังงานทดแทนในประเทศญี่ปุ่น มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ 

ส่วนในประเทศตั้งเป้าได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 100 เมกะวัตต์ หรือที่ 10% ของโครงการทั้งหมดที่บริษัทฯ เตรียมเข้าประมูล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการพลังงานทดแทนในประเทศที่คาดว่าจะมีออกมามากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการโซลาร์ฟาร์มสหกรณ์ ,โครงการโซลาร์ฟาร์มส่วนราชการ , โครงการ SPP Hybrid Firm, โครงการ VSPP Semi-Firm และ โครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน

บริษัทฯ ตั้งเป้ามีสัดส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าจัดจำหน่าย (EBITDA)จากธุรกิจโรงไฟฟ้ามาอยู่ที่ 70% และธุรกิจซื้อขาย 30% ของรายได้ทั้งหมด จากปีก่อนที่มีสัดส่วนธุรกิจไฟฟ้า 50% พร้อมคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 80% ในปี 2561

ในส่วนของเงินทุน บริษัทฯ เตรียมขออนุมัติที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเดือน เม.ย.นี้ เพิ่มวงเงินการออกหุ้นกู้อีก 3,000 ล้านบาท จากเดิมที่ 6,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเพื่อทดแทนตั๋วเงินระยะสั้น (B/E) มูลค่า 3,700 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้รองรับขยายการลงทุนโครงการพลังงานใหม่ๆ - See more at: 

BAFS

BAFS ตั้งเป้ารายได้ปี 60 โต 5%



BAFS ผู้ให้บริการจัดเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน คงเป้าหมายปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานน่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 5% แนวโน้มแตะ 6,000 ล้านลิตร จากปีนี้อยู่ที่ประมาณ 5,700 ล้านลิตร 

นายประกอบเกียรติ นินนาท กรรมการผู้จัดการบมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ  หรือ  BAFS เปิดเผยว่า การเติบโตในปีนี้ มาจากแนวโน้มการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติที่น่าจะสูงขึ้น โดยเฉพาะช่วงเทศกาลหยุดยาวต่างๆ และไตรมาส4 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว 

ในส่วนของรายได้ปีนี้ คาดว่าจะเติบโตได้ราว 5% เช่นกัน แม้ว่ารายได้ในปี2559  จะทำได้เกินเป้าที่ตั้งไว้ 10% ที่ทำได้ราว 3,712 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเกิดจากสถานการณ์เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ดี รวมถึงสายการบินต่าง ๆ เปิดเส้นทางการบินใหม่เพิ่มขึ้นด้วย 

ส่วนประเด็นนโยบายของรัฐบาลในการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญจากจีน ยืนยันว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ เพราะยังไม่เห็นการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้รายได้ของบริษัทฯ ขึ้นอยู่กับจำนวนเที่ยวบิน ไม่ใช่จำนวนนักท่องเที่ยว

อย่างที่ได้เห็นว่าปีที่ผ่านมาเราทำนิวไฮ ที่เราตั้งเป้าไว้โต10% ซึ่งเราสามารถทำได้ตามเป้า ส่วนปีนี้เราตั้งไว้ก่อน5% เราขอ Conservativeเป้าหมายไว้ก่อนเพราะนี่เพิ่งเข้าไตรมาส1แรก คงยังบอกอะไรได้ไม่มาก ซึ่งรายได้เราก็ตั้งเป้าไว้ 5% เหมือนกัน  ซึ่งเรามั่นใจว่าจำนวนเที่ยวบินน่าจะเพิ่มขึ้นเพราะเราเห็นสายการบินประกาศเที่ยวบินมาแล้วซึ่งมากขึ้น อีกทั้งยังมีสายการบินที่ยังไม่ได้แจ้งอีกมาก 

จากผลประกอบการในปี 2559 ของ BAFS มีรายได้ 3,712 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,097 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10% ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท  BAFS จึงได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผล  เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.50บาท ส่วนที่เหลือ อีก1 บาท บริษัทเตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2560 นี้

GL

GLร่วงติดฟลอร์ โดนจับขัง Cash Balance

ตลท.ให้ 3 บจ. ติด  Cash Balance  ส่วน GL ติดทั้งหุ้นแม่และลูกตามเกณฑ์ ขณะที่ราคาร่วงลงปิดติดฟลอร์

ตลาดหลักทรัพย์ ประกาศหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1  Cash Balance โดยเริ่มต้นตั้งแต่  13 มี.ค. -21 เม.ย. 2560

1.บมจ. กรุ๊ปลีส (GL) และใบสำคัญแสดงสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญของบมจ.กรุ๊ปลีส ครั้งที่ 4 (GL-W4)
2.บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม (ITEL)   
3.บมจ.โรงพยาบาลราชพฤกษ์ จำกัด (RPH)      

หุ้น GL วันนี้ปิดตลาดร่วงติดฟลอร์ที่ 25.25 บาท ลดลง 10.75 บาท หรือ 29.86%

SAWAD

SAWAD เตรียมเทนเดอร์ BFIT หุ้นละ 11.42 บาท




SAWAD เตรียมทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้น  BFIT ส่วนที่เหลือ 63.65% ราคาหุ้นละ 11.42 บาท หลังเข้าถือหุ้นได้แล้วทั้งหมด 36.35% 

บมจ.ศรีสวัสดิ์พาวเวอร์ 1979 (SAWAD) ได้ส่งประกาศแบบเจตนาคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบง.กรุงเทพธนาทร (BFIT) ส่วนที่เหลือทั้งหมด  63.65% ราคาหุ้นละ 11.42 บาท มูลค่ารวม 1.45 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะยื่นคำเสนอซื้ออย่างเป็นทางการในวันที่ 15 มี.ค.นี้

ขณะที่ในเอกสารประกาศแบบเจตนายังไม่ได้กำหนดช่วงระยะเวลาทำคำเสนอซื้อ

SAWAD ระบุว่า วานนี้ (9 มี.ค.) บริษัทได้เข้าซื้อหุ้น BFIT จำนวน 53.01 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.51% เมื่อรวมกับหุ้นที่บริษัทถืออยู่เดิม จะถือหุ้นรวมกันทั้งหมดเป็น 36.35%