ภาพใหญ่ SET index หลังจากแตะนิวไฮตั้งแต่ปลายเดือนม.ค. ก็แกว่งตัวทางด้านลบมาโดยตลอด สลับกับบรรยากาศต่างประเทศที่เข้ามาหนุนเป็นระลอก แต่ทิศทางหลักตลาดยังคงขาดปัจจัยสนับสนุนที่ชัด จนมาถึงตอนนี้ที่ได้จบฤดูการประกาศงบของบรรดาบริษัทจดทะเบียนไปเรียบร้อยแล้ว
ความผิดหวังต่อผลประกอบการพบในหุ้นหลายตัว ซึ่งรวมถึง CBG หรือ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หุ้นเผชิญแรงขายมาตั้งแต่ก่อนบริษัทฯ ประกาศผลประกอบการ ฉุดราคาหุ้นมาตั้งแต่วันที่ 17 ก.พ.ที่เริ่มเห็นสัญญาณขาย มาจนถึงล่าสุด (2 มี.ค.) ราคาหุ้นดิ่งลงมาแล้วถึง 20% เพียงระยะเวลาแค่ 10 วันทำการเท่านั้้น
ปัจจัยกดดันหลักคือกำไรสุทธิของ CBG ในงวด 4Q/59 ที่ออกมา 282 ล้านบาท ลดลง 2.1% Y/Y และ 35.9% Q/Q โดยข้อมูลโบรกเกอร์ระบุกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ต่ำกว่า Consensus ราว 12% โดยแรงกดดันหลักในไตรมาสล่าสุด คือ ค่าใช้จ่ายการขายและบริหารที่พุ่งขึ้นสู่ 692 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 51.1% Y/Y และ 40% Q/Q เนื่องจากมีการรวมผลประกอบการของบริษัทลูกในยุโรป (ICUK) ซึ่งบริษัทดังกล่าวยังอยู่ในช่วงการสร้างการรับรู้ในสินค้ากับผู้บริโภค
โดย CBG รับรู้การขาดทุนจาก ICUK เข้ามาราว 88.5 ล้านบาทในงวด 4Q/59
บริษัทฯ ประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ 0.60 บาท เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 7 มี.ค. นี้
ความเห็นนักวิเคราะห์ “ทิสโก้” ( แนะนำ “ขาย” ราคาพื้นฐาน 58 บาท) ระบุว่าหุ้นมี “downside” เพราะยังรับรู้ผลขาดทุนจากความพยายามบุกตลาดต่างประเทศ จากการที่บริษัทฯ ได้ร่วมทุนในจีน เข้าถือหุ้น 41.4% พร้อมคาดจะเริ่มได้ไตรมาส 2 นี้ ด้วยเป้าหมายยอดขาย 50 ล้านกระป๋อง และมีจุดคุ้มทุน 300 ล้านกระป๋อง ซึ่งเป็นค่าการตลาดปีละ 20-30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ทำให้จะรับรู้ผลขาดทุนในจีนในช่วง 3 ปีจากนี้ พร้อมกับคาดว่าผลประกอบการที่ ICUK จะรับรู้ผลขาดทุนในปี 2560-61 อยู่ที่ 171 ล้านบาท และ 71 ล้านบาท ตามลำดับ จากการเริ่มตลาดใหม่และยังมีค่าใช้จ่ายสปอนเซอร์ทีมฟุตบอลเพิ่มขึ้น
โบรกเกอร์รายนี้ยังคาดกำไรสุทธิ CBG ในช่วง 3 ปีนี้ จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 23% ตามยอดขายในประเทศ และการส่งออกในแถบเอเชีย
ด้าน “เคจีไอ” (ให้ราคาเป้าหมาย 69 บาท) คาดว่าการขาดทุนจากการเข้าทำตลาดในยุโรปจะค่อยๆ ลดลง เนื่องจากการประหยัดต่อขนาด อย่างไรก็ตาม การที่กำไรรายไตรมาสได้หยุดสถิติการเติบโตต่อเนื่องทุกไตรมาส อาจส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนในหุ้น CBG โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ Valuation ของหุ้นค่อนข้างแพง
ส่วนโบรกเกอร์อื่นๆ พบว่าบางแห่งยังคงให้ Upside ในหุ้น CBG แม้ว่ามุมมองการลงทุนยังปนไปด้วยความเสี่ยงและความท้าทายที่บริษัทฯ กำลังจะเผชิญในอนาคต
“ทรีนีตี้” (คาดราคาพื้นฐาน 85 บาท) ประเมินว่า CBG มีปัจจัยหนุนจะเข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 ถึงช่วงต้นปี 2561 จากการเปิดโรงงานผลิตขวด APG ในไตรมาส 4/60 ที่จะช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น เนื่องจากช่วยลดต้นทุนขวดแก้ว แต่จะมีการรับรู้ค่าเสื่อมราคาจากการเปิดโรงงานใหม่เช่นกัน อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการเป็นสปอนเซอร์ฟุตบอลยังกดดันผลการดำเนินงานในช่วง 1-2 ปี นักวิเคราะห์จึงมองว่า CBG เป็นหุ้นที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว เนื่องจากต้องรอผลจากการลงทุนที่หว่านเม็ดเงินลงไปให้เติบโตก่อน โดยอาจเลือกจังหวะเข้าลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560
ด้านโบรกเกอร์ “เออีซี” ระบุว่า ตั้งแต่ปีนี้ CBG จะเริ่มรับรู้ค่าเสื่อมที่สูงขึ้นจากการเปิดใช้โรงงานใหม่เพื่อผลิตแก้วสีชาและกระป๋องเครื่องดื่ม อีกทั้งยังรับรู้ขาดทุนจาก “Football Marketing” แต่ปัจจัยลบดังกล่าวคาดว่าจะถูกหักล้างด้วยกลยุทธ์ยอดขายและความสามารถทำกำไร นักวิเคราะห์คาดกำไรปี 2560 และ 2561 อยู่ที่ 1,855 ล้านบาท และ 2,410 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยในช่วง 2 ปีนี้ (CAGR) ปีละ 27.2%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น