GL

GL ร่วงต่อ กังวลพอร์ตลูกหนี้สิงคโปร์ ไซปรัส ไม่โปร่งใส

ต่างชาติขายสุทธิอีก 2.2 พันล้านบาท (จันทร์ 6 มี.ค.) ฉุดตัวเลขซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีกลายเป็นติดลบ 3 พันล้านเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เผยท่าทีเตรียมขึ้นดอกเบี้ยในการะประชุมกลางเดือนมี.ค.นี้  ทำให้นักลงทุนกังวลเรื่องทุนต่างชาติจะไหลออกมากขึ้นจากเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย 

สำหรับหุ้นรายตัวไซส์กลางที่มีแรงขายโดดเด่นมากที่สุด คือ GL หรือ บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) ที่มีปริมาณซื้อขายเข้ามาถึงกว่า 2 พันล้านบาท ขึ้นติดอันดับ 2 ใน Most Active Mainboard Value รองจาก PTT  

หุ้น GL ร่วงแรงสองวันติดต่อกัน ลงทำนิวโลว์ในรอบกว่า 3 เดือน กับประเด็นที่นักลงทุนบางกลุ่มได้แสดงความวิตกกังวลและตั้งคำถามเกี่ยวกับความโปร่งใสของบริษัทฯ ในการปล่อยเงินกู้ให้แก่ผู้กู้ 2 กลุ่มในประเทศสิงคโปร์และไซปรัส ตามข้อสังเกตุในหมายเหตุประกอบงบการเงินรวมประจำปี 2559 ของผู้สอบบัญชี

ผู้สอบบัญชีระบุว่าเงินให้กู้ยืมดังกล่าวและดอกเบี้ยค้างรับ มีจำนวนถึง 3,477 ล้านบาท คิดเป็น 40% ของพอร์ตสินเชื่อรวมของ GL ณ สิ้นปี 2559 

ในหมายเหตุประกอบงบการเงินระบุเพิ่มเติมว่า ผู้กู้ดังกล่าวยังเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทฯ ด้วยและได้นำหลักทรัพย์ส่วนหนึ่งที่เป็นหุ้นของบริษัทฯ มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ยืมดังกล่าว นอกจากนั้น ยังมีหลักทรัพย์ค้ำประกันอื่นเป็นสินทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ในเกาะไซปรัสและประเทศบราซิล พันธบัตรรัฐบาลไซปรัส และหุ้นในบริษัทอื่นในต่างประเทศอีกด้วย

ด้วยมูลค่าเงินกู้ยืมที่สูง ทำให้เกิดความวิตกว่าอาจจะเกิดการผิดนัดชำระหนี้ในอนาคต และอาจจะมีผลกระทบต่อศักยภาพการทำกำไรตามความหวังของนักลงทุน

“มิทซึจิ โคโนชิตะ” ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GL ล่าสุดเรียกความเชื่อมั่นผ่านเอกสารชี้แจงว่า ผู้กู้ทั้งสองกลุ่มที่อยู่ในสิงคโปร์และไซปรัส เป็นหุ้นส่วนการทำธุรกิจของ GL เป็นเวลายาวนานและมีความน่าเชื่อถือ โดยส่วนใหญ่เป็นดีลเลอร์รถมอเตอร์ไซค์ เครื่องจักรกลเกษตร แผงโซลาร์เซลล์ และอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างอื่น โดยดีลเลอร์เหล่านี้ ได้จัดหาสินค้าให้กับผู้กู้รายย่อยในระดับรากหญ้าในตลาดต่างๆ 

ผู้บริหาร GL ระบุว่าดีลเลอร์เหล่านี้ได้กลายสภาพมาเป็นผู้ถือหุ้นของ GL ขณะหลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้ของดีลเลอร์เหล่านี้ ก็มีการตีมูลค่าอย่างยุติธรรมและมีมูลค่ามากกว่ายอดเงินกู้

ส่วนประเด็นข้อกังวลของนักลงทุนในเรื่องการขยายเวลาการชำระคืนเงินกู้นั้น บริษัทฯ ขอชี้แจงว่า ในเบื้องต้นเงินกู้สำหรับผู้ประกอบการ SMEs เหล่านี้ จะเป็นเงินกู้ระยะสั้น 3 เดือน และโรลโอเวอร์เมื่อครบกำหนด แต่หลังจากที่บริษัทฯ มีความมั่นใจถึงเครดิตความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการ คู่ค้าเหล่านี้ก็จะปรับระยะเวลาชำระคืนเงินกู้เป็น 1 ปี โดยสามารถโรลโอเวอร์ต่อไปได้ตามความจำเป็นในการขยายธุรกิจของดีลเลอร์เหล่านี้ ซึ่งทั้งหมดถือเป็นเรื่องปกติในการขยับขยายธุรกิจของ GL โดย GL ระบุว่าสามารถเพิ่มพอร์ตสินเชื่อ ด้วยการขยายสินเชื่อให้กับกลุ่ม SMEs ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ทำให้สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา 

พร้อมระบุว่า “การบันทึกรายการเงินกู้เหล่านี้ในประเทศสิงคโปร์และไซปรัส  สืบเนื่องจากโครงสร้างภาษีของทั้ง 2 ประเทศ ที่เอื้อประโยชน์สำหรับการทำธุรกรรมดังกล่าว"

Money Channel สอบถามคุณวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ บอกว่า ปัจจุบันยังไม่มีการประเมินหุ้น GL จากผลกระทบในเรื่องนี้ เพราะเป็นแค่ผลกระทบด้านความเชื่อมั่นเท่านั้น แต่ยังไม่กระทบในเชิงพื้นฐาน ขณะที่หากเกิดกรณีการผิดนัดชำระหนี้ขึ้นมา ก็ยังมีหลักทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้ครอบคลุมเกิน 50% ของมูลค่าเงินกู้เกือบ 3.5 พันล้านบาท จึงยังไม่ขอแสดงความเห็นเรื่องคำแนะนำ เพราะในระยะสั้นราคาหุ้นอาจจะถูกกระทบ ส่วนในด้านพื้นฐานยังคงประมาณการเดิมไว้ที่ราคาพื้นฐาน 62 บาท ภายใต้สมมติฐานกำไรสุทธิปี 2560 จะเพิ่มขึ้น 60.5% อยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท

ทางเอเชียเวลท์มองปัจจัยหนุนกำไรมาจากธุรกิจในอาเซียน ที่ยังมีความต้องการสินเชื่อสูง การขยายพอร์ตผ่านรูปแบบดิจิตอลไฟแนนซ์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการอนุมัติสินเชื่อ และการมองหาโอกาสควบรวมกิจการ ทำให้คาดว่าสินเชื่อในปี 2560 จะขยายตัว 45% ขณะเดียวกัน ยังมีส่วนแบ่งกำไรจาก 350 ล้านบาท ที่ถือหุ้นใน “Commercial Credit and Finance” ในสัดส่วน 29.99% และธุรกิจใหม่ในเมียนมา ได้แก่ ไมโครไฟแนนซ์ และธุรกิจเช่าซื้อ เป็นปัจจัยช่วยหนุนกำไรเช่นกัน

งบการเงินล่าสุดงวดปี 2559 บริษัทฯ โชว์กำไรสุทธิ 1,062 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด และเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 82.34%

ส่วนในมุมมองภาพเทคนิค คุณธีรศักดิ์ ธนวรากุล แห่งค่าย "ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)" บอกกับ Money Channel ว่า จากการประเมินกราฟเทคนิคระยะสั้น หุ้น GL เกิดสัญญาณขาย เพราะไม่สามารถผ่านกรอบบน 52 บาทได้ ทำให้มีโอกาสลงมาทดสอบตรงเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันที่ระดับ 46 บาท จึงแนะนำขาย และรอลุ้นรีบาวด์แถวเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันอีกครั้ง