SAWAD ทำเทนเดอร์ BFIT หุ้นละ 11.42 บาท
29 ธ.ค. 59
SAWAD ผู้ถือหุ้นใหญ่ BFIT เตรียมซื้อหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม 26.51% หุ้นละ 10.50 บาท ก่อนยื่นทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้นส่วนที่เหลือทั้งหมดในตลาด 63.65% ในราคาหุ้นละ 11.42 บาท
บริษัทเงินทุน กรุงเทพธนาทร จำกัด (มหาชน) (BFIT) แจ้งว่า ได้รับแจ้งความประสงค์ที่จะทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท (Voluntary Tender Offer) จากบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน) (SAWAD) ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นของบริษัทจำนวน 19,680,000 หุ้น คิดเป็น 9.84% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท
SAWAD จะทำรายการจะซื้อจะขายหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทในจำนวน 53,011,000 หุ้น คิดเป็น 26.51% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท ในราคาหุ้นละไม่เกิน 10.50 บาท และจะทำคำเสนอซื้อหุ้นของบริษัทในส่วนที่เหลือทั้งหมดจำนวน 127,309,000 หุ้น หรือคิดเป็น 63.65% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท ในราคาหุ้นละไม่เกิน 11.42 บาท
สำหรับการทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน) จะต้องได้รับการอนุมัติการทำรายการซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ SAWAD ก่อน
ด้านที่ประชุมบอร์ด SAWAD ยังได้อนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติการปรับโครงสร้างกิจการตามแผนการจัดตั้งกลุ่มธุรกิจทางการเงิน โดยการโอนธุรกิจบางส่วนของบริษัท ซึ่งได้แก่ ธุรกิจสินเชื่อแบบมีหลักประกันทุกชนิด ซึ่งรวมถึงการโอนสัญญาทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดที่เกี่ยวข้องและที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ รวมถึงสาขาทั้งหมดและบุคลากร ที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจ ให้กับบริษัทย่อย
ทั้งนี้ เพื่อเปลี่ยนลักษณะการประกอบธุรกิจของบริษัท เป็นบริษัทโฮลดิ้ง โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ภายในรอบปีบัญชี 2560
ในรายงานระบุ บริษัทฯ จะใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และ/หรือ เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินในการทำรายการดังกล่าว
บล.กสิกรไทย ระบุว่า SAWAD ยื่นทำเทนเดอร์หุ้นทั้งหมดของ BFIT ที่11.42บาท/หุ้น คิดเป็น BV ที่ 1.1เท่า หลังจากที่ SAWAD จะเข้าทำการซื้อหุ้นจำนวน 53.11ล้านหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ที่ราคา 10.50บาท (1.01เท่า BV) มีมุมมองเป็นบวกต่อข่าวนี้
เนื่องจาก SAWAD จะสามารถเพิ่มความหลากหลายของประเภทสินเชื่อได้ โดยเฉพาะสินเชื่อ SME และสินเชิ่อส่วนบุคคล โดยพอร์ตหลักของ BFIT เป็นสินเชื่อส่วนบุคคล 75% และที่เหลือเป็นสินเชื่อ SMEs
อีกทั้งจะมีต้นทุนการเงินที่ต่ำลงและมีแหล่งเงินทุนเพิ่มขึ้นจากฐานเงินฝาก3.2พันลบ ของ BFIT ซึ่ง ต้นทุนเงินทุนอยู่ที่ราว 2.2%ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนของ SAWAD ที่ 3.4% ค่อนข้างมาก เนื่องจาก BFIT เป็นสถาบันการเงินที่สามารถรับเงินฝากได้
รวมทั้งลดความเสี่ยงทางด้านธุรกิจของ SAWAD เนื่องจาก BFIT อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย อยู่แล้ว โดยคาดว่าเมื่อการควบรวมเสร็จแล้วจะเพิ่มกำไรให้ SAWAD ได้ประมาณ 5% และ จะเพิ่มอัพไซด์ต่อราคาเป้าหมายปัจจุบันได้ที่ราว 3 บาท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น