แรงขายสลับทำกำไรออกมาในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายก่อนปิดตลาด (พฤหัสฯ 12 ม.ค.) ภายหลัง SET index ไม่สามารถฝ่าด่านแนวต้านสำคัญที่ระดับ 1,585 จุด กับแรงขายที่กระจายในหุ้นขนาดใหญ่กลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ รวมถึง Mid&Small Cap ที่ถูกเก็งกำไรร้อนแรงในช่วงก่อนหน้านี้
หุ้นในกลุ่มพลังงาน ที่เป็นตัวหลักผลักดันดัชนีหุ้นไทยให้ปรับตัวเป็นขาขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา รับราคาน้ำมันตลาดโลกขยับขึ้นอย่างรวดเร็วตามการลดปริมาณการผลิตของผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปก โดยปัจจุบันราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงยืนเหนือระดับ 50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จนส่งผลบวกมายังหุ้นในกลุ่มฯ รวมถึง PTTEP ที่ขยับขึ้น Outperform ตลาด แต่ล่าสุดเริ่มมีความเห็นจากนักวิเคราะห์หลายสำนักถึงมุมมองเชิงลบต่อผลประกอบการในงวดไตรมาส4/59 ว่าจะขาดทุน จนฉุดเซ็นติเมนต์ระยะสั้น
โบรกเกอร์ “ทรีนีตี้” คงคำแนะนำ "ขาย" ให้ราคาพื้นฐาน PTTEP ที่ 76 บาท จากปัจจัยกดดันระยะสั้นเรื่องผลประกอบการงวดไตรมาส 4/59 คาดจะพลิกขาดทุนสุทธิ 1,322 ล้านบาทจากไตรมาส 3/59 กำไร 5.4 พันล้านบาท นักวิเคราะห์คาดผลขาดทุนประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันดิบอยู่ที่กว่า 1,380 ล้านบาท และประเมินผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ รวมผลกระทบทางภาษี 4,354 ล้านบาท นอกจากนี้ คาดว่าผลการดำเนินงานหลักจะอ่อนตัวลง แม้จะได้แรงหนุนจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ราคาขายเฉลี่ยอ่อนตัวลงตามการปรับราคาขายก๊าซในแหล่งผลิตสำคัญในช่วงเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์คาดกำไรปกติ ไม่รวมรายการพิเศษก่อนภาษี อยู่ที่ 5.78 พันล้านบาท
บริษัทฯ ยังมีปัจจัยกดดันจากแนวโน้มกำลังการผลิตที่ลดลงอย่างมีนัยยะ และความเสี่ยงจากประเด็นสัมปทานแหล่งผลิตที่กำลังหมดอายุในปี 2563-64
นักวิเคราะห์โบรกเกอร์รายนี้มองทิศทางราคาน้ำมันดิบปี 2560 จะเป็นปีที่ค่อนข้างผันผวน โดยคาดแกว่งตัวในกรอบ 55-60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล แม้ปัจจุบันอุปทานน้ำมันดิบส่วนเกินปรับตัวลดลง แต่ในระยะยาวราคาน้ำมันดิบยังจะถูกกดดันจากกลุ่มผู้ผลิต Non-OPEC ที่จะกลับมาผลิตอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาราว 3-6 เดือนที่จะเริ่มเห็นปริมาณผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงกำลังผลิต Shale Oil
นักลงทุนจึงควรติดตามการประชุมประเทศผู้ผลิตน้ำมันในวันที่ 21–22 ม.ค.นี้ ณ กรุงเวียนนา และอีกครั้งในวันที่ 25 พ.ค. เพราะจะเป็น Key Event สำคัญต่อทิศทางราคาน้ำมันในระยะยาว
ด้าน “เคจีไอ” เพิ่งปรับลดราคาพื้นฐาน PTTEP ลงเหลือ 93 บาท จากเดิม 98 บาท เพื่อสะท้อนปรับลดประมาณการกำไรลง ถึงแม้จะมองว่า PTTEP จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากราคาน้ำมันดิบที่ขยับสูงขึ้นในช่วงนี้ แต่มีความกังวลกับแนวโน้มปริมาณยอดขายที่ลดลงของ PTTEP โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2564 ที่คาดว่าจะลดลงถึง 18% จากปี 2559 ซึ่งหากรัฐบาลไม่สามารถเปิดประมูลแหล่งเอราวัณและบงกชได้ในปี 2560 ก็หมายความว่า PTTEP จะไม่สามารถต่ออายุสัมปทานแหล่งบงกชที่จะหมดอายุลงได้
“เคจีไอ” แนะนำ "ถือ" เพราะคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2560 จะยังเติบโตได้ถึง 48%
สำหรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ก็คือ ความเสียหายที่อินโดนีเซียเรียกร้องจากกรณีน้ำมันรั่วจากแหล่ง Montara และความผันผวนของราคาน้ำมัน
ทิ้งท้ายด้วยมุมมองค่าย “เคทีบี(ประเทศไทย)” ที่ให้ภาพบวก PTTEP ด้วยราคาพื้นฐาน 107 บาท นักวิเคราะห์มองว่ากำไรที่อ่อนตัวลงเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นจากการปรับงบบัญชีให้เป็นไปตามอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่เชื่อว่าราคาน้ำมันผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะ PTTEP จะเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลบวกทั้งในแง่เซ็นติเมนต์และพื้นฐาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น