โบรกเกอร์ส่องพื้นฐานหุ้น TPIPL แรงขายยังกดดันต่อเนื่อง
ค่อยๆ ขยับฐานขึ้นต่อเนื่องและแตะนิวไฮรอบปีกว่าสำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทย (พุธ 25 ม.ค.) แม้ต่างชาติจะขายสุทธิ (-1.5 พันลบ.) แต่ทิศทางยอดรวมฝั่งซื้อยังเป็นไปในทิศทางขาขึ้น แถมยังเห็นเม็ดเงินที่เข้ามาจากสถาบันในประเทศที่เป็นยอดซื้อสุทธิ (+2.3 พันลบ.) แรงซื้อเข้ามายังกลุ่ม Big cap นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มสื่อสาร เป็นต้น แม้ว่าจะมีแรงขายทำกำไรสลับออกมากดดันระหว่างทาง หลังขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,585 จุด กับภาพทางเทคนิค SET INDEX ที่ยังไม่ปิดโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ
"Stocks to Watch" ยังอยู่กับหุ้นที่มีประเด็นร้อนให้จับตาต่อ คือ “ทีพีไอ โพลีน” (TPIPL) หลังเผชิญแรงขายหนักติดต่อกันเป็นวันที่สอง ฉุดราคาหุ้นทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 เดือน จากก่อนหน้านี้ปรับตัวเป็นขาขึ้นนับตั้งแต่ปลายเดือนพ.ย.2559 และขึ้นทำ High ใหม่ในรอบ 1 ปี กับ 6 เดือน เมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา
สำหรับประเด็นหลักที่เข้ามาฉุดราคาหุ้นให้ร่วง น่าจะเกิดจาก TPIPP ซึ่งเป็นบริษัทลูกติดปัญหาบางประการจนทำให้มีความล่าช้าในการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในโครงการโรงไฟฟ้าขยะให้่กับทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 90 เมกะวัตต์ จากแผนเดิมจะเกิดขึ้นในไตรมาสแรก และแม้ว่าผู้บริหารเองยืนยันว่าจะไม่กระทบกับแผนการนำ TPIPP เข้าจดทะเบียนใน SET ตามแผนเดือน ม.ค.นี้ แต่การซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. อาจจะล่าช้าไปถึงในไตรมาส 4/60
นอกจากนี้ ยังไม่นับรวมประเด็นกดดันเพิ่มเติมจากโบรกเกอร์บางค่ายที่ระบุว่า TPIPL ติดโผหุ้นที่มีโอกาสติด Cash Balance ในสัปดาห์นี้
ฝั่งปัจจัยพื้นฐาน นักวิเคราะห์ “เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” ประเมินโรงไฟฟ้าขนาด 90MW ที่ล่าช้าออกไป 290 วัน จะกระทบกำไรในปีนี้ประมาณ 1.7 พันล้านบาท ซึ่งจะมีผลทำให้ประมาณการกำไรในปี 2560 จะปรับลดลงจาก 3,501 ล้านบาทเหลือ 1,800 ล้านบาท สำหรับธุรกิจปูนซีเมนต์ในปี 2560 จะมีการเริ่มก่อสร้างในโครงการของรัฐบาลมากขึ้น หลังจากที่มีการเปิดประมูลในช่วงปลายปี 2559 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2560 ซึ่งคาดว่าจะทำให้ความต้องการปูนซีเมนต์ในปี 2560 ฟื้นเป็นบวกได้ราว 5% และจะทำให้การแข่งขันด้านราคาลดน้อยลง ทำให้ธุรกิจวัดสุก่อสร้างฟื้นตัวจากปี 2559 ที่ขาดทุนอย่างหนัก
นักวิเคราะห์ยังคงประมาณการในปี 2561 บริษัทฯ จะรับรู้โรงไฟฟ้าต่างๆ รวม 116 MW ที่ผลิตเต็มกำลังการผลิต และธุรกิจวัสดุก่อสร้างจะได้แรงหนุนจากการก่อสร้างโครงการของรัฐบาล ทำให้กำไรจะพลิกปรับตัวดีขึ้นเป็น 3,780 ล้านบาท “เมย์แบงก์ฯ” ประเมินราคาพื้นฐาน TPIPL ที่ 2.85 บาท
ด้าน “ฟินันเซีย ไซรัส” มองว่าความล่าช้าของการเปิดดำเนินงานอาจทำให้การ IPO ของ TPIPP ล่าช้า มีผลให้ TPIPL ต้องแบกภาระค่าเสื่อมราคาที่บันทึกอยู่ต่อไป และโอกาสจะพลิกเป็นกำไรทำได้ยากขึ้น ขณะเป้าหมายราคาหุ้นใน Consensus ที่ 2.8-3.3 บาทน่าจะมีการปรับลดลง จึงแนะนำให้ “Wait&See”
เช่นเดียวกับโบรกเกอร์ “เอเซียพลัส” ที่ได้ปรับประมาณการกำไร TPIPL ปีนี้ลง 33% บนสมมติฐานโรงไฟฟ้าขยะดังกล่าวจะเลื่อนไป COD ปี 2561 จึงให้มูลค่าพื้นฐานใหม่ที่ 3.06 บาท (เดิม 3.14 บาท) นอกจากนี้ ประเด็นดังกล่าวยังกระทบต่อแผน IPO ของ TPIPP ให้ล่าช้า แต่ยังเชื่อว่าจะสามารถขาย IPO ได้ทันภายในปีนี้
แตกต่างจากค่าย "ทิสโก้" ที่ประเมินว่าแม้การเลื่อนเซ็น PPA ของ TPIPP ขนาด 90 MW ทำให้กระทบต่อมูลค่าที่เหมาะสมตามวิธี Sum of the Parts จากความล่าช้า แต่ผลกระทบต่อประมาณการและมูลค่าที่เหมาะสมจาก Discount CF ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากประเมินในเชิงรับอยู่แล้ว โดยหากการ IPO ของ TPIPP ไม่ถูกเลื่อนออก TPIPL จะมี Upside จากการปรับนโยบายทางบัญชี โดยหลังการจดทะเบียน TPIPP จะทำให้ค่าเสื่อมราคาลดลงปีละ 1.3 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ จึงยังคงราคาพื้นฐาน 3.30 บาท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น